Monday, April 27, 2009

วิเคราะห์เชิงวิชาการ : คดีที่ดินรัชดาฯ

‘ตุลาการผู้ไม่ภิวัตน์’

ในช่วงรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ ได้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจทำให้สถาบันการเงินต่าง ๆ โดยเฉพาะบริษัทเงินทุนต่าง ๆ ขาดสภาพคล่อง ด้วยพฤติกรรมของพรรคประชาธิปัตย์ที่เคย
อิงแอบศักดินาอำมาตย์ และนายทุนสามานย์ ที่ยึดประโยชน์ของพวกตนเป็นใหญ่ จึงได้ทุ่มเทเงินจากภาษีของประชาชนเข้าช่วยเหลืออุ้มชูบริษัทเงินทุนเหล่านั้นไว้ โดยมิได้คำนึงถึงความทุกข์ยากแร้นแค้นของราษฎร์

บริษัทเงินทุน เอราวัณทรัสต์ จำกัด เป็นบริษัทหนึ่งที่ขาดสภาพคล่องในทางการเงิน กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินสังกัดธนาคารแห่งประเทศไทย ภายใต้การควบคุมดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังขณะนั้น ได้สั่งให้กองทุนฟื้นฟูฯเข้าแก้ไขฟื้นฟูโดยเพิ่มทุนให้ 300,000,000 บาท และรับโอนหุ้นจดทะเบียนและชำระค่าหุ้นแล้วจากบริษัทเงินทุนเอราวัณทรัสต์ จำกัด ร้อยละ 75 ทำให้กองทุนฟื้นฟูฯ เป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทดังกล่าวร้อยละ 92 แต่กระนั้นบริษัทก็ยังมีกองทุนติดลบอยู่ จำเป็นต้องทำให้เงินกองทุนของบริษัทเป็นบวกเสียก่อนนำออกขาย เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2538 กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน จึงซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษกของบริษัทเงินทุนเอราวัณทรัสต์ จำกัด 2 แปลง 31 โฉนด เนื้อที่รวม 121 ไร่ 2 งาน 34 ตารางวา เป็นราคาค่าซื้อทั้งสิ้น
4,889,497,500 บาท ซึ่งล้วนแต่เป็นเงินของประชาชนทั้งสิ้นต่อมากองทุนฟื้นฟูฯ ได้ปรับปรุงเกณฑ์บัญชีทรัพย์สินรอขายใหม่ทั้งหมดเพื่อรับรู้การขาดทุน โดยใช้ราคาประเมินของกรมที่ดินในขณะนั้นเป็นราคาที่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง เป็นผลให้ที่ดิน 2 แปลงดังกล่าวมีราคาลดลงเหลือเพียง 2,064,600,000 บาท เฉพาะแปลงที่ 2 ที่เกี่ยวกับคดีนี้มีราคา 754,500,000 บาท

เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2546 กองทุนฟื้นฟูฯ นำที่ดินแปลงที่ 2 ออกประมูลขายทางอินเตอร์เน็ต โดยกำหนดราคาขั้นต่ำไว้ที่ 870,000,000 บาท มีผู้ประสงค์จะซื้อ 8 ราย แต่เมื่อกำหนดต้องเสนอราคาปรากฏว่า ไม่มีผู้ใดเสนอราคาประมูล กองทุนฟื้นฟูได้ดำเนินการรังวัดแบ่งแยกที่ดินแปลงที่ 2 ออกเป็น 4 โฉนดโดยแบ่งหักส่วนที่เป็นสาธารณะประโยชน์ออกไป เหลือเนื้อที่ 22 ไร่ 78.9 ตารางวา หลังจากนั้นจึงประกาศขายที่ดินนี้ใหม่อีกครั้งโดยวิธีประกวดราคาโดยไม่กำหนดราคาขั้นต่ำเอาไว้ มีผู้เสนอราคา 3 ราย คือบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เสนอราคา 730,000,000 บาท บริษัท โนเบิลดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เสนอราคา 750,000,000 บาท และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร จำเลยที่ 2 เสนอราคา 772,000,000 บาท ซึ่งเป็นผู้ให้ราคาสูงสุด และสูงกว่าราคาที่ดินที่ปรับแล้วคือ 754,500,000 บาท กองทุนฟื้นฟูจึงประชุมกันและอนุมัติให้คุณหญิงพจมาน เป็นผู้ชนะการประกวดราคา คุณหญิงพจมานได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าวกับกองทุนฟื้นฟูฯ เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2546 และชำระราคาครบถ้วนในเวลาต่อมาก่อนที่จะทำสัญญาซื้อขาย และจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินกันในวันที่ 30 ธันวาคม 2546 โดยพันตำรวจ ดร.ทักษิณ ชินวัตร จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อในหนังสือให้ความยินยอมแก่คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ซึ่งเป็นภรรยา โดยมอบหลักฐานสำเนาบัตรประจำตัวประเภทข้าราชการการเมือง ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีประกอบการทำสัญญาด้วย

มีปัญหาว่า โดยหลักกฎหมายและหลักนิติธรรม Rule of Law แล้วพันตำรวจโท
ดร.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะจำเลยที่ 1 และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ในฐานะจำเลยที่ 2
ควรต้องรับโทษในทางอาญาหรือไม่

ตามคำพิพากษาที่ได้อ่านและเปิดเผยแล้ว ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 ตามที่โจทก์(อัยการสูงสุด) บรรยายฟ้องมามีเพียงการที่จำเลยที่ 1 ให้ความยินยอมแก่จำเลยที่ 2 ในการร่วมประมูลซื้อและทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาท และจากการไต่สวนพยานของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองประกอบรายงานสรุปสำนวนการตรวจสอบไต่สวนของ คตส. (คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ) ได้ความว่า การดำเนินการตั้งแต่ร่วมเสนอราคา ทำสัญญาจะซื้อจะขายจนกระทั่งทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทกับกองทุนฟื้นฟูฯ นั้น เป็นการดำเนินการของจำเลยที่ 2 เพียงคนเดียว โดยไม่ได้ความว่า จำเลยที่ 1 มีการกระทำการอย่างใดที่แสดงให้เห็นว่าร่วมกระทำการดังกล่าวกับจำเลยที่ 2 ด้วย จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนกระทำหรือเกี่ยวข้องในอันที่จะแสดงให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยที่ 1 ว่าประสงค์จะมีเจตนาร่วมซื้อที่ดินพิพาทกับจำเลยที่ 2 ลำพังการที่จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อให้ความยินยอมในสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาท ยังไม่มีเหตุผลเพียงพอถึงขนาดให้รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนากระทำการร่วมกับจำเลยที่ 2 แล้ววินิจฉัยเฉพาะจำเลยที่ 2 ว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้กระทำผิดเพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าการกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ จึงให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2

ส่วนพันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร จำเลยที่ 1 นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของ
ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ปรับบทกฎหมายตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 100 และมาตรา 122 ว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดและพิพากษาจำคุก 2 ปี โดยไม่รอการลงอาญา

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
พ.ศ. 2542 มาตรา 100 บัญญัติว่า “ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดดำเนินกิจการ
ต่อไปนี้ (1) เป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้เสียในสัญญาที่กำกับหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นปฏิบัติหน้าที่ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดำเนินคดี” วรรคสองบัญญัติว่า “เจ้าหน้าที่ของรัฐตำแหน่งใดที่ต้องห้ามมิให้ดำเนินกิจการตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา” (ซึ่งหมายถึง นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีด้วย) และวรรคสามบัญญัติว่า

“ให้นำบทบัญญัติในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับกับคู่สมรสของเจ้าหน้าที่ของรัฐตามวรรคสอง โดยให้ถือว่าการดำเนินกิจการของคู่สมรส ดังกล่าวเป็นการดำเนินกิจการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ”


มาตรา 122 บัญญัติว่า “เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 100 มาตรา 101 หรือมาตรา 103 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ” และวรรคสองบัญญัติว่า “กรณีความผิดตามมาตรา 100 วรรคสาม หากเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดพิสูจน์ได้ว่า ตนมิได้รู้เห็นยินยอมด้วยในการที่คู่สมรสของตนดำเนินกิจการตามมาตรา 100 วรรคหนึ่ง ให้ถือว่าผู้นั้นไม่มีความผิด” ดังนี้


จะเห็นได้ว่า ตามคำวินิจฉัยของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏนั้น พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตจร จำเลยที่ 1 ไม่ได้ร่วมเสนอราคาในการประมูลซื้อที่ดินพิพาทกับคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ไม่ได้เป็นผู้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทไม่ได้เป็นผู้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาท แต่เป็นการดำเนินการของคุณหญิงพจมาน จำเลยที่ 2 แต่เพียงผู้เดียว ไม่ได้ความว่าจำเลยที่ 1 มีการกระทำการอย่างใดที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกระทำการดังกล่าวกับจำเลยที่ 2 ด้วย เหตุนี้จำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่ผู้ที่ได้กระทำการใดหรือลงมือกระทำการใด อันจะปรับได้ว่าเป็นผู้กระทำความผิดในตัวของจำเลยที่ 1เอง แต่จะเป็นความผิดได้เพราะการกระทำของคู่สมรสคือคุณหญิงพจมาน ผู้ภรรยาเท่านั้น ดังนั้นในเบื้องต้นจึงถือไม่ได้ว่าพันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร จำเลยที่ 1 เป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้เสียในสัญญาที่กำกับหน่วยงานของรัฐอันจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 100 วรรคหนึ่ง (1)

ปัญหามีว่าพันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร จำเลยที่ 1 ควรจะต้องรับโทษในทางอาญาเพราะการกระทำของคู่สมรสคือ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร จำเลยที่ 2 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 100 วรรคสามหรือไม่ เห็นว่า เมื่อการกระทำของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร จำเลยที่ 2 ไม่เป็นความผิดเพราะเป็นการเข้าประมูลประกวดราคาซื้อที่ดินโดยสุจริตและเปิดเผย และเงินที่ชำระราคาที่ดินที่ประมูลได้ก็ไม่ใช่ทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิด ต้องคืนแก่คุณหญิงพจมานจำเลยที่ 2 ไปเช่นนี้ จึงไม่อาจจะนำเอาการกระทำที่ไม่เป็นความผิดของคุณหญิงพจมานไปเป็นการกระทำที่เป็นความผิดเพื่อลงโทษพันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร จำเลยที่ 1 ซึ่งไม่ได้กระทำหรือลงมือกระทำใด ๆ ดังกล่าวแล้วได้


นอกจากนั้น ตามมาตรา 122 วรรคสองยังบัญญัติไว้ดังกล่าวข้างต้นด้วยว่า “กรณีความผิดตามมาตรา 100 วรรคสาม หากเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใด พิสูจน์ได้ว่า ตนมิได้รู้เห็นยินยอมด้วยในการที่คู่สมรสของตนดำเนินกิจการตามมาตรา 100 วรรคหนึ่ง ให้ถือว่าผู้นั้นไม่มีความผิด” ดังนี้ เมื่อข้อเท็จจริงซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองรับฟังเป็นยุติมาแต่แรกดังกล่าวแล้วว่า การดำเนินกิจการของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร จำเลยที่ 2 คู่สมรสของจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับการเข้าประมูลซื้อที่ดินพิพาทนั้น เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 2 ดำเนินการด้วยตนเองตามลำพังเพียงคนเดียว ตั้งแต่การร่วมเสนอราคาการทำสัญญาจะซื้อจะขายตลอดจนกระทั่งทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาท โดยพันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร จำเลยที่ 1 ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือไม่ได้กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนกระทำหรือเกี่ยวข้องในอันที่จะแสดงว่าจำเลยที่ 1 ประสงค์จะมีเจตนาร่วมซื้อที่ดินพิพาทกับจำเลยที่ 2 ด้วย
ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏชัดแจ้งต่อศาลดังที่ปรากฏในคำวินิจฉัยของศาลเองเช่นนี้แล้ว การดำเนินกิจการดังกล่าวของจำเลยที่ 2 ในฐานะคู่สมรสของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการดำเนินการของจำเลยที่ 2 เองตามลำพัง จำเลยที่ 1 จึงไม่ได้รู้เห็นด้วย เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ได้รู้เห็นตั้งแต่ต้นเสียแล้ว โอกาสที่จำเลยที่ 1 จะให้หรือไม่ให้ความยินยอมจึงไม่มีหรือเป็นไม่ได้อยู่ในตัวซึ่งก็ไม่ผิดวิสัยที่ครอบครัวที่ร่ำรวยมั่งคั่งมีทรัพย์สินนับแสนล้านบาท อย่างเช่นจำเลยที่ 1 และ จำเลยที่ 2 จะทำเช่นนั้นได้ การที่จะเหมารวมและฟังเป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ 1 ว่าจำเลยที่ 1 รู้เห็นเป็นใจหรือให้ความยินยอมแก่จำเลยที่ 2 ในการเข้าประมูลซื้อที่ดินพิพาท อันถือเป็นการกระทำของจำเลยที่ 1 และลงโทษจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 100 (1) ประกอบด้วยมาตรา 122 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ. 2542 นั้น น่าจะไม่เป็นไปตามบทกฎหมายและความเป็นจริงดังกล่าวแล้ว

ลำพังการยินยอมที่สามีให้แก่ภรรยาภายหลังจากภรรยาได้อสังหาริมทรัพย์มาจากการประมูลขายโดยชอบนั้น หาเป็นเหตุที่จะแสดงว่า สามีได้รู้เห็นยินยอมให้คู่สมรสของตนดำเนินกิจการที่ผิดกฎหมายมาแต่แรก อันจะทำให้สามีต้องรับโทษในทางอาญาไม่ และเมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยมาแล้วว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระทำของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 ไม่ประสงค์ที่จะมีเจตนาซื้อที่ดินพิพาทกับจำเลยที่ 2 แล้ว การที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองไม่มีพยานหลักฐานใดมาพิสูจน์ให้เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 มิได้รู้เห็นยินยอมด้วยในการที่จำเลยที่ 2 ดำเนินการตามมาตรา 100 นั้น ย่อมเท่ากับบังคับให้จำเลยที่ 1 หรือจำเลยที่ 2 นำพยานหลักฐานมาสืบพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ศาลรู้เองอยู่แล้ว ทั้งศาลก็ได้รับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นยุติมาแต่แรกดังกล่าวแล้ว น่าจะเป็นการขัดต่อข้อเท็จจริงที่ปรากฏ เหตุนี้ที่อ้างว่าจำเลยทั้งสองไม่มีพยานหลักฐานมาพิสูจน์ให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 มิได้รู้เห็นยินยอมและลงโทษจำเลยที่ 1 จึงน่าจะขัดต่อเหตุผลและความเป็นจริงและไม่ต้องด้วยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2541 มาตรา 122 วรรคสอง ปัญหาจึงควรแก่การพิจารณาว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำผิดบทกฎหมายดังกล่าวหรือไม่

ยิ่งกว่านั้นในคดีที่มีองค์คณะผู้พิพากษาหลายคนที่จะต้องร่วมกันพิพากษาคดีโดยเฉพาะคดีอาญานั้น กฎหมายได้บัญญัติไว้อย่างเคร่งครัดและชัดเจนถึงการใช้ดุลพินิจและการออกเสียงลงมติในการพิพากษาแต่ละคดีว่า

1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 39 บัญญัติว่า “บุคคล
ไม่ต้องรับโทษอาญา เว้นแต่ได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลากระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้และโทษที่จะลงแก่บุคคลนั้น จะหนักกว่าโทษที่กำหนดไว้ในกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทำความผิดมิได้

ในคดีอาญา ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด”

2. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 บัญญัติว่า “ให้ศาล
ใช้ดุลพินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวงอย่าพิพากษาลงโทษจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทำผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น

เมื่อมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ ให้ยกประโยชน์
แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย”

3. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 184 บัญญัติว่า “ในการประชุมปรึกษาเพื่อมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้อธิบดีผู้พิพากษา ข้าหลวงยุติธรรม หัวหน้าผู้พิพากษาในศาลนั้น หรือเจ้าของสำนวนเป็นประธาน ถามผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาทีละคนให้ออกความเห็นทุกประเด็นที่จะวินิจฉัยให้ประธานออกความเห็นสุดท้าย การวินิจฉัยให้ถือตามเสียงข้างมากถ้าในปัญหาใดมีความเห็นแย้งกันเป็นสองฝ่าย หรือเกินกว่าสองฝ่ายขึ้นไปจะหาเสียงข้างมากมิได้ ให้ผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยมากยอมเห็นด้วยผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยน้อยกว่า”

ปรากฏว่าในคดีที่ดินรัชดาฯ นี้ มีผู้พิพากษาเป็นองค์คณะ 9 คน การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีต้องดำเนินการให้เป็นไปโดยยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมายและในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ ทั้งนี้ตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 197 วรรคแรก บัญญัติไว้ ดังนั้นผู้พิพากษาทั้ง 9 คน จึงต้องตระหนักและต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าพันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ไม่มีความผิดตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

พ.ศ. 2550 มาตรา 39 วรรคสอง และหากกรณีมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 สำหรับการประชุมปรึกษาเพื่อมีคำพิพากษาคดีดังกล่าวนี้

แม้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2542 มาตรา 20 จะบัญญัติว่า

“การทำคำสั่งที่เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดหรือพิพากษาคดี ให้ผู้พิพากษาในองค์คณะผู้พิพากษาทุกคนทำความเห็นในการวินิจฉัยคดีเป็นหนังสือพร้อมทั้งต้องแถลงด้วยวาจาต่อที่ประชุมก่อนการลงมติ และให้ถือมติตามเสียงข้างมาก ในการนี้องค์คณะผู้พิพากษาอาจมอบหมายให้ผู้พิพากษาคนใดคนหนึ่งในองค์คณะผู้พิพากษาเป็นผู้จัดทำคำสั่งหรือคำพิพากษาตามมตินั้นก็ได้...” ก็ตาม

แต่ก็ไม่ปรากฏมีข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาหรือบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ บัญญัติถึงการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนในการประชุมปรึกษาคดีไว้ ตลอดจนกรณีที่มีความเห็นแย้งกันเป็นสองฝ่ายจะหาเสียงข้างมากมิได้นั้น จะต้องดำเนินการอย่างไร ด้วยเหตุนี้ความในมาตรา 18 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน จึงบัญญัติว่า

“...ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญาใช้บังคับ...โดยอนุโลม” นั่นก็คือต้องนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 184 ข้างต้น มาบังคับใช้นั่นเอง โดยบทกฎหมายดังกล่าวไม่ได้บัญญัติให้ผู้พิพากษาทั้ง 9 คนออกเสียงพร้อมกันในคราวเดียวกันเพื่อให้ได้เสียงข้างมาก แต่บัญญัติให้ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนต้องทำหน้าที่เป็นประธานยังไม่มีสิทธิออกเสียงทันทีถามผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาอีก 8 คนทีละคนว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดหรือไม่ปรากฏจากคำพิพากษาที่อ่านและเปิดเผยแล้วว่า คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 คนลงมติด้วยคะแนน 5 ต่อ 4 ว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดให้จำคุก 2 ปี ย่อมแสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า ในชั้นที่ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนทำหน้าที่ประธานสอบถามความเห็นผู้พิพากษาอีก 8 คนนั้นมีผู้พิพากษา 4 คนเห็นว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดแต่ผู้พิพากษาอีก 4 คนเห็นว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีความผิดคะแนนเสียงจึงเป็น 4 ต่อ 4 เท่ากันแย้งกันอยู่กรณีเช่นนี้ ณ เวลานั้นขณะนั้นจึงต้องด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายรัฐธรรมนูญและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาดังกล่าวข้างต้นว่าต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีความผิดและกรณียังเป็นที่สงสัยว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดจริงหรือไม่เพราะมีคะแนนเสียงเท่ากันหาเสียงข้างมากไม่ได้ ซึ่งกรณีย่อมต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 184 ที่บัญญัติว่า

“ถ้าปัญหาใดมีความเห็นแย้งกันเป็นสองฝ่าย จะหาเสียงข้างมากมิได้ ให้ผู้พิพากษาที่เห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยมากยอมเห็นด้วยผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยน้อยกว่า” อีกด้วย

ดังนั้นผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดีนี้ ซึ่งเป็นประธานและต้องออกเสียงเป็นคนสุดท้ายจึงต้องถูกผูกมัด และถูกบังคับด้วยบทกฎหมายที่บัญญัติไว้อย่างชัดแจ้งดังกล่าว ให้จำต้องลงมติว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีความผิดเพราะเป็นผลร้ายแก่จำเลยน้อยกว่า แม้ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนจะมีความเห็นขณะนั้นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดก็ตาม เหตุนี้คะแนนเสียงของผู้พิพากษาคดีนี้ ที่พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ด้วยคะแนน 5 ต่อ 4 จึงเท่ากับว่าผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนที่ออกเสียงเป็นคนสุดท้ายได้ลงมติว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดซึ่งเป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ 1 มากกว่า น่าจะเป็นการฝ่าฝืนและขัดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 39 วรรคสอง และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 และมาตรา 184 จึงมีข้อพิจารณาว่าเป็นการลงมติที่ถูกต้องหรือไม่ คำพิพากษาคดีนี้สามารถยืนยันได้แท้จริงหรือไม่ว่าพันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร จำเลยที่ 1 ควรต้องรับโทษในทางอาญา

อนึ่งการลงมติที่จะต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 184 ดังกล่าวนี้ย่อมครอบคลุมทุกประเด็นปัญหาในการประชุมเพื่อมีคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีอาญา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาว่า จำเลยกระทำผิดหรือไม่ ควรลงโทษจำเลยหรือไม่เพียงใดหรือสมควรลงโทษหรือรอการกำหนดโทษ หรือกำหนดโทษแต่รอการลงโทษจำเลยไว้หรือไม่เป็นต้น ดังจะเห็นได้จากถ้อยคำตามตัวบทมาตรา 184 ที่ว่า “...ให้เจ้าของสำนวนเป็นประธาน ถามผู้พิพาทที่นั่งพิจารณาทีละคน ให้ออกความเห็นทุกประเด็นที่จะวินิจฉัย... ถ้าในปัญหาใด มีความเห็นแย้งกัน…” ดังนี้ แสดงว่าการลงมติขององค์คณะผู้พิพากษาในคดีอาญาต้องปฏิบัติตามความในมาตรา 184 ทุก ๆ ประเด็นปัญหา ไม่มีข้อยกเว้น

ด้วยเหตุผล ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่กล่าวมา พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร จำเลยที่ 1 จะได้รู้เห็นยินยอมให้คุณหญิงพจมาน ชินวัตร จำเลยที่ 2 ดำเนินกิจการเป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้เสียในสัญญาที่จะทำให้จำเลยที่ 1 กลายเป็นผู้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 100(1) และมาตรา 122 วรรคสอง หรือไม่และการประชุมปรึกษาองค์คณะผู้พิพากษาเป็นการประชุมและลงมติที่สอดคล้องกับกฎหมายดังกล่าวมาแล้วหรือไม่ หากองค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 คนได้ลงมติให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติไว้อย่างถูกต้องครบถ้วนแล้ว มติในการพิพากษาคดีนี้น่าจะเป็นว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ทำผิดด้วยคะแนนเสียง 5 ต่อ 4 ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายรัฐธรรมนูญและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาดังกล่าวหรือไม่

หากกรณีเป็นไปตามที่กล่าวมาโดยลำดับ สมควรหรือไม่ที่พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร จะต้องได้รับโทษในทางอาญา