Tuesday, April 28, 2009

วาระสุดท้ายของขบวนการอำมาตย์







วาระสุดท้ายของขบวนการอำมาตย์
ไม่ว่าจะลับ ลวง พราง อย่างไร ก็หนี วัฏฏะ ไม่พ้น วัฏฏะ ในที่นี้ เป็นได้ทั้ง วัฏสงสาร และ วัฏจักร ในส่วนแรก คนทุกคนต้อง มีแก่ มีเจ็บ มีตาย เป็นเรื่องที่ไม่ต้องอธิบายความให้มาก จะอายุยืนถึง 100 ปี เพราะมียาดี อย่างไรก็ต้องตาย ในส่วนที่สอง ก็ต้องเป็นไปตามวิวัฒนาการ ไม่มีระบบใด อาณาจักรใด อำนาจของกลุ่มใดจะอยู่ได้ตลอดไป ในอดีตก็เห็นกันอยู่

อำมาตยาธิปไตย คืออะไร ผมตั้งข้อสังเกตเอาไว้ ประมาณ 5 ปีมาแล้ว ตั้งแต่สมัยเขียนบทความอยู่ที่ บอร์ด ราชดำเนิน ตั้งแต่เริ่มเห็นเค้าลางของขบวนการโค่นทักษิณ โดยมีนายสนธิ กับ พวก แกนนำ สหภาพ และ นักวิชาการที่หมั่นไส้อดีตนายกเป็นตัวชูโรง และมือที่มองไม่เห็นบงการ โดยผมบอกว่า คณะองคมนตรี ก็คล้ายๆ กับ พวกอำมาตย์โบราณในหนังจักรๆ วงศ์ วงศ์ นั่นเอง

ตอนนั้นหลายๆ ฝ่ายยังไม่มีใครพุดถึงคำนี้ แต่หลายคนก็รู้ดี เพียงแต่ยังไม่มีใครให้คำจำกัดความที่แน่นอน จนในที่สุดตอนนี้ หากไปเสิร์ทในกูเกิ้ล ก็จะพบว่า ส่วนใหญ่ก็จะแปลกันตรงๆ คือ ระบบที่ข้าราชการเป็นใหญ่ ซึ่งผมไม่ค่อยชอบนัก เพราะดูยังไม่ค่อยตรงกับเป้าประสงค์ของประชาชนจริงๆ ในการต่อสู้ครั้งนี้

เป้าประสงค์หลักของ คนเสื้อแดง ไม่ใช่อยู่ที่การล้มระบบ ข้าราชการ ตามตัวอักษรของการแปลคำๆ นี้ แบบตรงๆ แต่จริงๆ ต้องบอกว่า คนไทยกว่าค่อนประเทศต้องการล้มระบอบอำมาตย์ที่เป็นลักษณะของกลุ่มบุคคลที่มีอำนาจแฝง และครอบงำ การเมือง การปกครอง ทิศทางของประเทศ รวมทั้งเสถียรภาพของรัฐบาล

ลักษณะการทำงานของอดีตนายกทักษิณ ผู้มีหัวก้าวหน้า ต้องการเปลี่ยนประเทศแบบฉับพลันทันที ไม่เกรงกลัวทั้งอำนาจโบราณ และ มหาอำนาจอย่างอเมริกา (หากเปิด เอเชีย บอนน์ ได้สำเร็จ ไอ้กันหมดความหมาย)

ผู้นำประเทศที่มาจาก นักธุรกิจคนนี้ ทนไม่ได้ที่เห็นการทำงานอย่างเฉื่อยชา เช้าชามเย็นชาม ในระบบราชการแบบเดิม ทนเห็นความด้อยพัฒนาของ รัฐวิสาหกิจไม่ไหว (อย่างเช่น การรถไฟไทย ที่นาย สมศักดิ์ เป็นประธานสหภาพ ที่เริ่มจะล้าหลังอินเดียไปแล้ว) ทนไม่ได้ที่เห็นทหารแทนที่จะเป็นทหารของประชาชน แต่เป็นทหารของพลเอกนอกราชการ ทนไม่ได้ที่เห็นนักวิชาการคร่ำครึ รู้แต่ในตำรา แต่ไม่รู้วิธีการนำมาใช้

ด้วยบุคลิก แข็งกร้าว ไม่สนหน้าอินทร์ หน้าพรหม เดินหน้าสารพัดโครงการ ก็ย่อมเป็นที่หมั่นไส้ของหลายๆ คน ซึ่งก็ต้องนับรวมถึง พวกที่เสียผลประโยชน์ และ พวกที่ชอบสบาย ไม่อยากเปลี่ยนแปลงเข้าไปด้วย นั่นคือที่มาของสหบาทา จากหลายๆ กลุ่ม เพื่อล้ม รัฐบาล ทรท ในอดีต ซึ่งผมคงจะไม่ต้องกล่าวถึงรายละเอียด เพราะทราบดีกันอยู่

แต่อย่างไรก็ตาม ที่สุด ของที่สุดก็คือ คุณทักษิณล้มในทางกายภาพก็เพราะ ทหาร และล้มทางภาพลักษณ์(บางส่วน) ก็เพราะสื่อไทยนั่นเอง

ขบวนการอำมาตย์น่าจะมีการจัดตั้งทันที หลัง ปี 2475 และ พัฒนาเรื่อยมาโดยึดโยงกับทหารอย่างเหนียวแน่น อีกทั้งมีกลุ่มทุนรุ่นเก่าให้การสนับสนุน และ สื่อโบราณบางกลุ่มเป็นกระบอกเสียง รัฐบาลไหนพินอบ พิเทาก็อยู่กันนานหน่อย ใครกระด้าง กระเดื่อง และดูเป็นพิษ เป็นภัย ก็กำจัดเสีย พยายามยึดโยงตัวเองเป็นเนื้อเดียวกับสถาบัน เพื่อความขลัง และความชอบธรรม

ผมเชื่อว่า คุณทักษิณไม่ใช่คนแรก และ คนสุดท้ายที่มองเห็นภาพและปัญหาในการพัฒนาอันนี้ แต่ คุณทักษิณ “ดัน” มาเป็นนายก และ พยายามรื้อระบบในขณะที่ขบวนการอำมาตย์ยังแข็งแกร่ง อำมาตย์ยังไม่แพ้ แต่ก็อ่อนกำลังลงไปมาก

วินาทีนี้ ขบวนการอำมาตย์ไม่ขลังแล้ว ทหารเองก็ไม่สามารถสั่งให้ซ้ายหัน ขวาหันได้ ตำรวจยิ่งไม่ต้องพูดถึง สื่อเอง หากอำมาตย์ไม่ให้ทหารเอาปืนจี้อยู่ หลายช่องคงไม่ออกมาเป็นแบบนี้ กลุ่มทุนใหม่ก็รุกคืบทุนเก่าที่ไม่รู้จักปรับตัว กองทัพรากหญ้าก็แข็งแกร่งขึ้นทุกวัน ปัญญาชนเริ่มกลับมาสนใจการเมืองอีกครั้ง หลังจากห่างหายไปนานนับแต่ปี 2535 ลูกหลานอำมาตย์ ก็ไม่เอาอย่างพ่อ แม่แล้ว หลายคนไปเรียนเมืองนอก ได้เห็นความศิวิไลซ์ อยากสู้กันแบบแฟร์ๆ มากกว่า

ลูกไม้แบบเดิมที่บอกว่า ทักษิณนำเสื้อแดง เสื้อแดงต้องการล้มสถาบัน เสื้อแดงฆ่าประชาชน ใช้ได้ก็แต่พวกคนเสื้อเหลืองที่เสพ ASTV เหมือนติดยา กับพวกตามแห่ ไม่เคยติดตามการเมืองเชิงลึกเท่านั้น ซึ่งมันน่าสังเวชที่ยังงัดมุกนี้มาใช้ในปี 2552 ยุคที่ Internet เข้าไปถึงหมู่บ้านกันแล้ว

ผมเชื่อว่า หากประธานองมนตรีต้องจากโลกนี้ไปตามวัฏฏะสงสาร บ้านเมืองจะกลับม ปรองดองกันได้อีกครั้งหนี่ง ขบวนการอำมาตย์ที่โงนเงนอยู่แล้ว พังแน่ หัวขบวนคนใหม่สร้างไม่ทัน ลำพังเสื้อเหลืองผู้น่าสงสาร เราคนไทยด้วยกันเอาอยู่ หากทหารไม่มายุ่ง

ขบวนการอำมาตย์ไปแน่ครับ อยู่ที่ว่า พวกเราเสื้อแดงจะให้ไปแบบไหน ตาม วัฏฏะ หรือ การปฏิวัติประชาชน

Monday, April 27, 2009

มาเฟียสื่อมวลชน







สื่อใหญ่ฮ่องกงลากไส้ พฤติกรรมฉาวโฉ่ สนธิ

HK Asia Weekly ชำแหละประวัติ และพฤติกรรม “สนธิ ลิ้ม” ที่โดนลอบสังหาร ราวกับหนังชอว์บราเดอร์ ฝีมือกำกับของ ‘จางเชอะ’ เพราะเลือดอาบ แต่ลุกขึ้นมาให้ช่างภาพในเครือถ่ายรูปได้หน้าตาเฉย แถมตั้งข้อสังเกตการเสนอข่าวของเว็บผู้จัดการ ตอนแรกตีข่าว “กระสุนเฉียดคิ้ว” แต่ไม่กี่นาทีแก้เป็น “อาการสาหัส”



วันถัดมานสพ.ในเครือชูเป็น “เทวดา” เพราะฆ่าไม่ตาย พร้อมลากไส้ “ธาตุแท้” ทำธุรกิจล้มละลาย แต่อาศัยขอผู้สนับสนุนพธม. ควักกระเป๋าบริจาค เพื่อจ่ายเงินเดือนพนักงานให้อยู่รอด

วันที่ 23 เม.ย. 2552 ผู้สื่อข่าวพิเศษ "ไทยอินไซเดอร์" รายงานจากเกาะฮ่องกงว่า นิตยสาร Hong Kong Asia Weekly (หรือในชื่อภาษาจีน "ย่าโจวโจวคาน" ซึ่งเป็นนิตยสารเชิงการเมืองภาษาจีนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตีพิมพ์บนเกาะฮ่องกง วางจำหน่ายทุกวันพฤหัสบดีและอีกกว่า 30 ประเทศทั่วโลก) ได้ตีพิมพ์เนื้อหาที่เกี่ยวกับคดีลอบสังหารนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไว้น่าสนใจ โดยพาดหัวข่าวว่า “ปมปริศนาที่คลายไม่ตก คดีสังหารสนธิลิ้ม” มีเนื้อหาว่า...

ปรากฏการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองของประเทศไทย ภายใต้รัฐบาลประชาธิปัตย์ โดยการนำของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่บริหารประเทศมา 4 เดือนนั้น ได้เผชิญกับ “ลัทธิสุดขั้ว” และความรุนแรงอย่างไม่ขาดสาย ทางการไทยเพิ่งเสร็จสิ้นภารกิจการปราบปรามจลาจลช่วงสงกรานต์ปีใหม่ไทย อันเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 คน และบาดเจ็บ 135 คน เดิมทีคิดว่าสถานการณ์ได้กลับคืนสู่ความสงบแล้ว แต่คาดไม่ถึงว่า ‘สนธิ ลิ้มทองกุล’ (หลิน หมิงต๋า林明達 ) เจ้าพ่อสื่อเชื้อสายจีน ซึ่งเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ และเป็นผู้นำกองทัพเสื้อเหลืองหรือพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ถูกลอบสังหารเมื่อวันที่ 17 เม.ย. รถประจำตำแหน่งถูกคนร้ายไม่ทราบที่มา กระหน่ำยิงถึง 84 นัด กะโหลกศีรษะและหน้าอกของสนธิ ถูกยิงจนเลือดไหลไม่หยุด หลังจากผ่าตัดแล้วพ้นขีดอันตราย แต่บอดี้การ์ดและคนขับรถอาการสาหัสจมกองเลือด การลอบสังหารครั้งนี้ ทำให้สถานการณ์การเมืองประเทศไทยซับซ้อนมากขึ้น

ทางตำรวจสันนิษฐานว่า มีฆาตกรเกี่ยวพันกรณีสะเทือนขวัญนี้มากกว่า 7 คน สาเหตุการฆาตกรรมประกอบด้วยแผนร้ายทางการเมือง คู่แข่งทางธุรกิจ ความแค้นส่วนตัว ปัจจัยที่พัวพันกับ “บุคคลที่เป็นกิ๊ก” ก็ไม่ได้ถูกตัดออกไป ทนายของสนธิฯและแกนนำพธม. คนอื่นๆ ฟันธงว่า คดีนี้เป็น “การล้างแค้นทางการเมือง” หรือ “ผู้ลงมือเป็นกลุ่มทหาร” เป็นต้น โดยจุดประสงค์การลอบสังหารก็เพื่อต้องการสร้างความวุ่นวายอีกระลอกหนึ่ง เพื่อไม่ให้ภาพลักษณ์ถูกทำลาย ฝ่ายทหารได้เรียกร้องให้ทุกฝ่ายอย่าคาดเดาเหตุการณ์ไปเอง นายกฯอภิสิทธิ์สั่งเร่งรัดให้ตำรวจคลี่คลายคดี จับกุมคนร้ายและผู้อยู่เบื้องหลังโดยเร็วไว พร้อมกำชับแพทย์ ให้ดูแลรักษานายสนธิ อีกทั้งส่งตำรวจดูแลความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง

โดยกระสุนที่พบในที่เกิดเหตุ มาจาก AK- 47 จำนวน 64 นัด มาจาก HK33 จำนวน 17 นัด อีก 3 นัดมาจาก M 16 ส่วนอีกหนึ่งนัดเป็นหัวกระสุนที่มาจาก M 79 ที่ยังไม่ระเบิด รถเมล์ที่ผ่านที่เกิดเหตุคันหนึ่งถูกลูกหลง มีผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยที่ขาหนึ่งคน เวลาประมาณตีห้าครึ่งของวันนั้น นายสนธิ ซึ่งปีนี้อายุ 61 ปี ได้นั่งรถส่วนตัวจากบ้านพักในกรุงเทพฯ เพื่อมุ่งหน้าสู่บางลำพูเพื่อจัดรายการวิเคราะห์ข่าวช่วงหกโมงเช้าของสถานีเคเบิ้ล ASTV ที่เขาบริหารอยู่ ระหว่างผ่านหน้าวัดซึ่งใกล้กับธนาคารกลางนั้น ก็ถูกยิงกราดอย่างบ้าคลั่ง หลังจากนั้น นายสนธิถูกส่งตัวเข้าวชิรพยาบาลที่อยู่ใกล้เคียง รับการรักษาฉุกเฉินเป็นเวลา 2 ชั่วโมง แพทย์ผ่าตัดนำสะเก็ดกระสุน 4 ชิ้นออกจากบริเวณศีรษะได้สำเร็จ นายสนธิมีสติตอบคำถามของแพทย์ได้ แต่เนื่องจากโรงพยาบาลแห่งนี้ มีสมาชิกกลุ่มเสื้อแดงซึ่งต่อต้านรัฐบาลอภิสิทธิ์ เข้ารักษาหลังจากการปราบปรามจลาจลอยู่ไม่น้อย ดังนั้น หลังการผ่าตัดนายสนธิ ซึ่งยืนคนละฟากกับพวกเขาเหล่านั้น จึงได้ขอย้ายไปรับการรักษาต่อที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เนื่องจากญาติผู้พี่ของนายสนธิ เป็นแพทย์ประจำที่โรงพยาบาลจุฬาฯแห่งนี้ อีกทั้งแพทย์ส่วนใหญ่ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ก็เชียร์พันธมิตรฯ ความปลอดภัยค่อนข้างไว้ใจได้ ทั้งนี้มีรายงานว่า นอกจากญาติ-เพื่อนสนิทและบุคคลสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์แล้ว นายสนธิปฏิเสธให้ผู้อื่นเข้าเยี่ยม โดยหลังจากรับการผ่าตัด ซึ่งพ้นขีดอันตราย นายสนธิสามารถเดิน นั่ง และรับประทานอาหารด้วยตนเองได้

ข่าวลอบสังหารนายสนธิ สะเทือนไปทุกวงการในสังคม เนื่องจากวันเกิดเหตุการณ์ยังเป็นช่วงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เห็นได้ชัดว่าผู้ร้ายไม่เห็นแก่กฎหมาย กล้าลงมือกลางวันแสกๆ ทำให้ผู้คนหวาดกลัว นอกจากนี้อาวุธที่ผู้ก่อการใช้ ก็ล้วนเป็นอาวุธสงคราม ประสงค์จะปลิดชีพให้ได้ ตำรวจได้สืบหาที่มาของ “ปืนเถื่อน” อย่างเร่งด่วน ที่ทำให้คนอดคิดไม่ได้ก็คือ หลังจากที่นายสนธิถูกยิง ตัวอาบไปด้วยเลือด แต่ “รอดตายราวปาฏิหาริย์” นั้น ยังสามารถลุกขึ้นมาจากรถที่โดนห่ากระสุนปืน เสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สวมเสื้อสีขาวที่มีรอยเลือดเป็นหย่อมๆ ให้ช่างภาพ “นสพ. ผู้จัดการ” ภายใต้เครือของตน “ถ่ายภาพไว้เป็นหลักฐาน” เพื่อออกทางอินเตอร์เนต เพื่อพิสูจน์ว่าเขาเป็น “ชายเหล็กดวงแข็ง” ราวกับภาพยนตร์แนวแมน กำกับโดย ‘จางเชอะ’ แห่งชอว์บราเดอร์

เว็บไซต์ “ผู้จัดการ” ที่นายสนธิ อำนวยการนั้น ตอนแรกตีข่าว “ลูกกระสุนเฉียดคิ้ว” แต่ไม่กี่นาทีต่อมาแก้เป็น “อาการสาหัส” วันถัดมา “นสพ.ผู้จัดการ” ที่เป็นกระบอกเสียงให้พันธมิตรฯ ยกนายสนธิเป็น ‘เทวดา’ พาดหัวตัวอักษรสีแดงบนพื้นสีดำว่า “สนธิฆ่าไม่ตาย” “คนดีพระคุ้ม” เนื้อข่าวของ “คนดีไม่โดดเดี่ยว” เกาะติดรายงานอย่างใกล้ชิด

ทว่า ในความคิดของคนทั่วไป ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา นายสนธิก่อความกระทบกระเทือนให้การเมืองไทย บุคคลทางการเมืองที่เห็นตรงข้าม จะถูกคำพูดเสียดแทงของเขาด่ากราดไปทั่ว มีบทวิจารณ์ท้องถิ่นกล่าวว่า “สนธิลิ้มฯหาทุกข์เข้าตัว เพราะเขาสร้างศัตรูไปทั่วทิศ ก็สมควรแล้ว” หลายเดือนก่อนที่นายสนธิถูกยิง หนังสือพิมพ์แทบลอยด์และเว็บไซต์ท้องถิ่นบางแห่งลือว่านายสนธิ “ซ่อนสาวน้อยไว้ในเรือนทอง” มีสัมพันธ์ลับๆ กับ “สาวงามลึกลับ” ระดับนางงามสากลและสาววงการบันเทิง นอกจากนี้ความน่าเชื่อทางธุรกิจของนายสนธิ ก็มีปัญหามาก เครือผู้จัดการที่เขาดำเนินธุรกิจ มีหนี้สะสมประมาณ 140 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และไม่สามารถชำระหนี้ได้ ปลายปีที่แล้วถูกศาลตัดสินล้มละลาย ผู้สนับสนุนหลักไม่น้อย หยุดลงโฆษณา เนื่องจากวาจาและการกระทำที่ดุดันและกระทบกระแทก เป็นผลให้หนังสือพิมพ์ภาษาไทยที่เคยเป็นสื่อกระแสหลักของเขาต้องขาดทุนยับเยิน ทำให้หันมาจัดกิจกรรมเสริม เช่น จัดคอนเสิร์ตทั่วทิศ ขอผู้สนับสนุนพันธมิตรฯควักกระเป๋าบริจาค เพื่อให้พนักงานกว่า 500 ชีวิตในเครืออยู่รอด

ก่อนหน้านี้ หลังเกิดเหตุการณ์กลุ่มเสื้อแดงที่สนับสนุน ‘ทักษิณ ชินวัตร’ บุกพัทยาทำให้การประชุมอาเซียนต้องล่มลง และการใช้กำลังทำร้ายนายกฯอภิสิทธิ์ ไม่นานนัก นายสนธิก็ตำหนิติเตียนทางการ...ยกใหญ่ เรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ “ปลด” ทั้งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีที่ดูแลด้านความมั่นคง, ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และผบ.ตร. ให้หมด ทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่พอใจ

ระหว่างที่นายสนธิเข้าโรงพยาบาล เนื่องจากมีผู้ประกาศข่าวเชื้อสายจีนของสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งรายงานข่าวเขาในเชิงลบ นายสนธิโกรธจัดถึงกับกล่าวว่า ออกโรงพยาบาลแล้วจะไปคิดบัญชี

นายสนธิผู้ซึ่งได้รับการศึกษาจากไต้หวันและสหรัฐอเมริกา มีฉายาว่า “มาเฟียสื่อมวลชน” ภายใต้เครือของเขามีหนังสือพิมพ์ภาษาไทยอยู่หลายฉบับ มีสถานีโทรทัศน์เคเบิ้ลและสื่ออินเตอร์เนต บรรพบุรุษของเขามาจากหมู่บ้านซีโถวโพ อำเภอเหวินชาง มณฑลไห่หนาน (ไหหลำ)

ขยันทำแต่เรื่องโง่ๆเป็น รมช. พาณิชย์ ไม่ยอมขายของ แต่ไปขายหน้าซะงั้น




UAE หักหน้าอภิสิทธิ์ อย่างจัง ให้ทักษิณเข้าประเทศได้ ใครจะทำไม 5555
หน๋อยแหนะ ! เห็นไปมาแล้วอวดโน้นอวดนี้ บอกว่าเขาต้อนรับอย่างดี
เขาให้ความร่วมมืออย่างดี ทักษิณ หนีออกจาก UAE แล้ว UAE ไม่ให้ทักษิณเข้าประเทศ ฯลฯ

ขี้โม้ทั้งสิ้น พูดคนเดียว พูดเองเออเอง

อายไหมเนียะ ตอนนี้ UAE ให้ทักษิณเข้าประเทศแล้ว 555 เขาบอกใครจะทำไม

( อันหลังผมเติมให้เองนะ )

...ประเดนมันอยู่ที่ ปชป.ครับ ขี้โม้ ขี้คุย ขี้โกหก อวดเก่ง โอเวอร์ ใช้ปากทำงานเหมือนเดิมครับ...
รู้ซึ้งเห็นชาติของพรรคนี้เลย แหลระดับชาติ
น่าอายชาวโลกที่รัฐบาล มีรมต ต่างประเทศ

ขยันทำแต่เรื่องโง่ๆ

กลายเป้นตัวตลกในเวทีโลก ไปแล้ว

นายอลงกรณ์ พลบุตร โดนเค้าหลอกมาอะดิ55555 หรือ อลงกรณ์ แกเดาเอาเอง ถ้าเค้าให้ออก คงให้ออกไปตั้งนานแล้วเพราะใช้ที่นั้นเคลื่อนไหวมาตั้งนานแล้ว...อีกอย่าง มันเกี่ยวอะไรกับหน้าที่อลงกรณ์เหรอ..แบบนี้เค้าเรียกว่า เจือกเปล่า หน้าที่ตัวเองไม่ทำ..เหอ เหอ ในการไป UAE. ของอลงกรณ์ครั้งนี้เอง ก้อได้ไปเสนอขายข้าวให้ประเทศนี้ด้วย สรุปว่าขายไม่ออก

ไปทำขายหน้าเขา ยังมีหน้าจะไปขอความร่วมมืออีก มุสลิมเขามีความรัก ความผูกพันกัน

บลูไดมอนด์ มีความศักดิ์สิทธิ์ เอาไปรีคัทใหม่ ทุบทำลาย ในสิ่งที่เขารักเขาหวง

ระวังให้ดีๆ

จบจากยูเออี ตอนนี้ก็เขมร เฮ้อ...

ไม่ได้คิดบริหารบ้านเมืองเลย วัน ๆ มีแต่สร้างกระแสทางการเมือง

แก้ปัญหาในบ้านตัวเองก่อนเถอะ ไหนจะไข้หวัดหมู ไหนจะน้ำมันแพง มะนาวแพง ได้อำนาจมาแล้วนิ ไหนโชวฝีมือหน่อยสิ เฮอ........

เป็น รมช. พาณิชย์ ไม่ยอมขายของ แต่ไปขายหน้าซะงั้น

วันที่ประชุมสองสภาพูดในที่ประชุมอย่างน่าภาคภูมิใจในความสำเร็จ

วันนี้เป็นไง หน้าแตกหมอไม่รับเย็บ

เอิ๊กกกกก

ปชป.โวยการ์ตูนไทยรัฐจองเวร"อภิสิทธิ์"




ปชป โวยโดนสื่อคุกคาม
สงสัยคุณเซียแกโดนทักษิณจ้าง

ปชป.โวยการ์ตูนไทยรัฐจองเวร"อภิสิทธิ์"
13:59 น.


นายสาธิต ปิตุเตชะ กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า อยากขอความเป็นธรรมจากสื่อ โดยเฉพาะนักเขียนการ์ตูน "เซีย ไทยรัฐ" ซึ่งเขียนคอลัมน์การ์ตูน หน้า 3 อย่างมีอคิติต่อนายกฯ และพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีข้อคิดเห็นและวิพากษ์วิจารณ์นายกฯและพรรคเท่านั้น ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งหรือฐานะอะไร และไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ความขัดแย้ง หรือสถานการณ์ใดๆของประเทศ

"คุณเซียไม่ได้ใช้ความเป็นสื่อสารมวลชนปฏิบัติหน้าที่ อยู่บนพื้นฐานของจรรยาบรรณสื่อ ไม่ได้ใช้วิชาชีพในการวิพากษ์วิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นในเชิงที่สร้างสรรค์ เพื่อนำไปสู่การบริโภคข่าวสารอย่างตรงไปตรงมา พร้อมทั้งไม่ได้ใช้ความคิดไปในทางที่เกิดประโยชน์ต่อสถานการณ์ที่เกิดความรุนแรง สถานการณ์บ้านเมืองมีปัญหา ดังนั้นจึงขอความเป็นธรรมไปยังคุณเซีย ให้ปฏิบัติหน้าที่โดยปราศจากอคติ และให้ดำเนินการตามวิชาชีพ จรรยาบรรณ ตามมาตรฐานของสื่อ" นายสาธิต กล่าว และว่า จะรวบรวมข้อมูลที่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ของ"เซียไทยรัฐ" เพื่อนำเสนอต่อนายกฯสภาการหนังสือพิมพ์ ว่าให้ตรวจสอบจรรยาบรรณต่อไป

บทบาทของสื่อสารมวลชน










ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์

อดีตบรรณาธิการข่าว หนังสือพิมพ์ไทยไฟแนนเชียล

อดีตผู้ช่วยบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ข่าวพิเศษรายสัปดาห์

ปัจจุบันเป็นผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์เพื่อนนักลงทุน TNN 24







ในฐานะที่เป็นคนข่าวอยู่ร่วม 10 ปีเศษ และตอนนี้ก็ทำหน้าที่สื่ออยู่ ผมมีความรู้สึกทั้งไม่สบายใจและคับข้องใจต่อบทบาทของสื่อสารมวลชนในปัจจุบัน 3 ด้านหลักๆ คือ



1.สื่อไม่ได้นำหน้าที่เป็นผู้รายงานข่าวอย่างเป็น ‘สื่อกลาง’

2.สื่อไม่ได้ปฏิบัติงานเยี่ยงนักวิชาชีพที่ควรจะต้องรอบด้าน และตรวจสอบอย่างดีก่อนนำเสนอ

3.สื่อได้ประกาศตัวชัดเจนว่า จะเลือกข้างอยู่ข้างหนึ่ง เป็นกระบอกเสียงให้ฝ่ายหนึ่ง และโจมตีอีกฟากหนึ่ง



ผมมีข้อเสนออยู่ 3 ประเด็นที่สำคัญคือ ต้องมีการตรวจสอบสื่ออย่างเข้มข้นจากประชาชน และต้องทำอย่างวิชาชีพอื่นเขาทำกัน นั่นคือ มีการควบคุมและมีมาตรการที่มีบทลงโทษที่ชัดเจน ไม่ใช่พูดกันว่า ให้สื่อตรวจสอบกันเอง แล้วก็เข้าข้างกันเองอย่างที่เป็นอยู่



1.สื่อไม่ได้ทำหน้าที่เป็นผู้รายงานข่าวอย่างเป็น ‘สื่อกลาง’ ผมไม่ขอใช้คำว่า ‘เป็นกลาง’ เพราะความเป็นกลางนั้นมันไม่มีอยู่จริง แต่หลักง่ายๆ คือการเป็น ‘สื่อกลาง’ นั้น เป็นจุดเริ่มต้นที่สื่อต้องทำให้ได้ก่อน

ปรากฎการณ์ที่หญิงผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงรายหนึ่งไปทะเลาะกับสื่อหรือประชาชนก็ตาม แล้วโดนจิกหัวลากไปกับพื้น ต่อมาเมื่อเธอไปแถลงข่าวต่อที่ประชุมนักข่าวรัฐสภา เรื่องอย่างนี้มันยากเย็นนักหรือที่สื่อจะรับฟังปากคำของเธอ แต่เรากลับเห็นสื่อภาคสนามจำนวนมากตั้งป้อมไว้ก่อน เช่น ก็คุณไป:-)น้ำลายใส่เขาก่อน เขาจิกหัวลากไปกับพื้นก็สมควรแล้ว, คุณมาแถลงข่าวกับสื่อทำไม ก็ไปแจ้งความโรงพักโน่นสิไป, ทำไมคุณไม่รอฟังรัฐบาลชี้แจงความจริงก่อนค่อยมาแถลงข่าว, คุณทำไมเคี้ยวหมากฝรั่งไปพูดไป รัฐมนตรียังไม่แสดงกริยาแบบนี้กับนักข่าว ฯลฯ



หลักปฏิบัติมันก็ง่ายๆ แค่นี้แหละครับ สื่อก็ต้องฟังเขาก่อนให้จบ จบแล้วสงสัยอะไรก็ซักถาม หากเห็นว่า ควรต้องตรวจสอบข้อมูลให้รอบด้าน ก็ต้องตรวจสอบ แล้วก็ส่งรายงานข่าวดิบไปยังกองบรรณาธิการ บรรณาธิการก็ย่อมใช้วิจารณญาณและความเป็นนักวิชาชีพเองว่า จะนำเสนอข่าวชิ้นนี้ออกมาให้มีดุลถ่วง และเป็น ‘สื่อกลาง’ ในการนำเสนอออกไปได้อย่างไร



ลำพังแค่สื่อตัดสินแหล่งข่าวเสียแล้วว่า คุณมันเลว ก็สมควรโดน, คุณมาผิดที่ต้องไปโรงพัก, คุณไม่ยอมฟังเรื่องจริงจากรัฐบาลแล้วแร่มาแถลงข่าว แถลงก็ทำตัวน่าหมั่นใส้ เคี้ยวหมากฝรั่งไปด้วย แถมมาด่าสื่อว่าไม่เป็นกลางอีก แบบนี้มันก็สอบตกตั้งแต่ข้อแรกแล้ว



2.สื่อไม่ได้ปฏิบัติงานเยี่ยงนักวิชาชีพที่ควรจะต้องรอบด้าน และตรวจสอบอย่างดีก่อนนำเสนอ

อันนี้เป็นหลักปฏิบัติสำหรับนักวิชาชีพสื่อพึงทำ ผมยกตัวอย่างเรื่องหญิงเสื้อแดงนั้นแหละ หากคุณสงสัยว่า หญิงคนนี้ให้ข่าวเท็จ สื่อก็ย่อมสามารถตรวจสอบข่าวนั้นซ้ำ (double check) อาจเป็นการถามซ้ำ ซักทวน ซักแย้ง (แต่ก็ต้องให้แหล่งข่าวเขาพูดให้จบก่อน ไม่ใช่แทรกกลางปล้องตลอดอย่างที่เห็น) หรือหาหลักฐานเอกสารที่เกี่ยวข้องมาดู หรือตรวจสอบไปยังแหล่งอื่นที่อาจเป็นคนละด้านกับหญิงคนนี้ (cross check) เช่น ทหาร ตำรวจ หรือชาวบ้าน หรือนักข่าวสนามในวันเกิดเหตุ



ที่สำคัญ เรื่องแบบนี้ควรมีการทำรายงานในเชิงสอบสวนสอบสวน (investigative news) ด้วยซ้ำไป เพราะภาพหลักฐานก็ปรากฏ ผู้หญิงคนเสื้อแดงนี่ก็โผล่มาแล้ว สื่อก็แค่ตามหาตัวผู้ชายที่ไปจิกหัวเขาลากสักหน่อย มันหาตัวไม่ยากหรอก คือหากคนๆ นี้ไม่เป็นสื่อมวลชน (เพราะสังเกตว่ามีกล้อง และกระเป๋ากล้องแบบช่างภาพหนังสือพิมพ์ชอบมีกัน) ก็เป็นทหาร (เพราะใส่เสื้อเขียว) หรือไม่ก็ชาวบ้านแถวๆ ที่เกิดเหตุ (ที่เกิดเหตุนี่อยู่แถวๆประตูน้ำ ไปถามหากับวินมอเตอร์ไซค์แถวๆ นั้นก็ได้) ผมก็ไม่เห็นว่า จะหาตัวผู้ชายคนนี้ยากตรงไหน จะได้ซักไซร้ไต่ถามกันให้ได้ความอีกข้าง



ยังขาดการทำข่าวในเชิง investigative news อีกเยอะแยะมากในเหตุการณ์ชุมนุมครั้งนี้ เป็นต้นว่า ที่ชาวบ้านร้านตลาดเขาสงสัยก็คือ พวกม็อบเสื้อแดงนี่มันไม่โง่ก็บ้าที่ตอนเกิดเหตุการณ์ดันไปเขย่าขวัญคนกรุงเทพฯ ทั้งเอารถแก๊สไปตั้งไว้ใกล้แฟลตดินแดง (แต่สื่อก็ไม่ได้สืบค้นว่ามันไปยังไงมายังไง เสนอแต่ว่า เกิดตูมตามขึ้นมา ระเบิดไปในรัศมี 5 กิโล มีตายเป็นเบือ) เหตุการณ์พวกเสื้อแดงไปก่อเรื่องยิงมัสยิด เหตุการณ์ไปยิงชาวบ้านตลาดนางเลิ้งตาย



คำถามพื้นฐานที่สื่อควรสงสัย (หรือคนสติดีๆ ทั่วไป ไม่จำเป็นต้องเป็นสื่อ) ก็คือ มูลเหตุจูงใจของพวกเสื้อแดงที่ก่อเหตุอาละวาดเป็นหมาบ้านี่มันคืออะไร พวกนี้เห็นคนกรุงเทพฯเป็นศัตรูหรือ? หรือว่าพวกนี้ต้องแสวงหาการสนับสนุนจากคนกรุงเทพฯ และประชาชนทั่วไปไม่ใช่หรือ? แล้วก็ต้องทำรายงานข่าวเชิงสืบสวนสอบสวนให้ปรากฏ ซึ่งผมว่า ก็ไม่ยาก...สื่อก็แค่ถามพวกแกนนำเสื้อแดงที่หน้าทำเนียบในตอนนั้นว่า พวกคุณส่งพวกนี้ไปอาละวาดจริงไหม ทำไมพวกคุณทำแบบนั้น ซึ่งก็คือการ cross check ขั้นเบสิกมากๆ



แต่ที่ผมได้ยินมาก็คือว่า พวกแกนนำเสื้อแดงพยายามติดต่อสื่อ สำนักต่างๆ ไปเพื่อชี้แจงข้อมูลจากมุมมองของเขา แต่สื่อจำนวนมากปฏิเสธที่จะเสนอข่าวในอีกมุม โดยอ้างว่าอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ถูกควบคุมการรายงานข่าวจากรัฐบาล



จากนั้นสื่อก็ทำตัวไม่ต่างไปจากกระบอกเสียงรัฐบาลว่า พวกเสื้อแดงอาละวาดเผาบ้านเผาเมือง เป็นศัตรูกับคนกรุงเทพฯ สื่อบางแห่งยั่วยุให้คนกรุงเทพฯ ตั้งกองกำลังออกมาจัดการพวกเสื้อแดงด้วยซ้ำ



ปัญหามีอยู่ว่า สื่อกลัว พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ หรือว่า เพราะมีอคติ (bias) เป็นพื้นฐานอยู่ด้วย หรือทั้งสองส่วน...



3.สื่อได้ประกาศตัวชัดเจนว่า จะเลือกข้างอยู่ข้างหนึ่ง เป็นกระบอกเสียงให้ฝ่ายหนึ่ง และโจมตีอีกฟากหนึ่ง

เรื่องนี้มีประจักษ์พยานมากมายว่า สื่อเลือกข้าง เลือกปฏิบัติ เป็นกระบอกเสียงโฆษณาชวนเชื่อให้อีกฝ่าย และโฆษณาโจมตีอีกฝ่าย ผมยกตัวอย่างง่ายๆ



-ในตอนที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยประท้วงไล่รัฐบาลทักษิณขึ้นสู่กระแสสูง สมาคมวิชาชีพสื่อนั่นเอง แทนที่จะวางตัวเป็นผู้รายงานข่าวที่เป็น ‘สื่อกลาง’ กลับออกแถลงการณ์เสียเอง ให้รัฐบาลทักษิณลาออกหรือยุบสภา



-ในตอนคมช.ทำรัฐประหาร 19 กันยายน สมาคมวิชาชีพสื่อ ทั้งสมาคมนักข่าววิทยุโทรทัศน์ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ และสภาการหนังสือพิมพ์ ส่งประธานหรือนายกสมาคมฯ ไปเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) เสียเอง ยังโชคดีว่า นักข่าวสนามจำนวนมากออกมาต่อต้าน แต่ต้านแล้วก็ไม่ฟัง ทุกวันนี้ยังเตลิดเตลยไปเป็นสมาชิกวุฒิสภาจากการแต่งตั้งอีก และทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงให้ฝ่ายที่แต่งตั้งตนเองอีก



-ในตอนรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เกิดปะทะกับพันธมิตรฯ ต้องมีการออกประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ สมาคมวิชาชีพสื่อพากันออกแถลงการณ์ประณามว่า รัฐอย่ารุนแรงกับผู้ชุมนุม แนะนำให้รัฐบาลลาออกหรือยุบสภาแก้ปัญหา มาตอนรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน สื่อออกแถลงการณ์ว่า ผู้ชุมนุมอย่าทำรุนแรง ทักษิณต้องยุติเคลื่อนไหว ปัญหาจะได้จบ รัฐบาลจะใช้กำลังก็แต่พอดี อย่าให้บาดเจ็บล้มตาย...!



-นี่ไม่ต้องพูดถึงเพื่อนร่วมวิชาชีพของผม บรรดานักเล่าข่าวจากค่าย The Nation หริอลูกหม้อเก้าค่ายนี้ที่ทำตัวไม่ต่างไปจากกระบอกเสียงฝ่ายหนึ่ง ให้ร้ายโจมตีอีกฝ่ายตามช่อง 3 5 7 9 NBT TPBS นะครับ ใครที่มีสามัญสำนึกดีก็ย่อมรู้ว่า คนเหล่านี้กำลังทำหน้าที่สื่อกลาง หรือเป็นกระบอกเสียงโฆษณาชวนเชื่อที่เต็มไปด้วยอคติ และทีท่าหน้าตาท่าทางการแสดงออกเต็มที่ว่า กูจะทำตัวแบบนี้ซะอย่าง ใครจะทำไม! ามว่ารัฐอย่ารุนแรงกับผู้ชุมนุมิดปะทะกับพันธมิตรต้องมีการออกประกาศพรก.ฉุกเฉิน สมาคมวิชาชีพสื่อพากันออกแถลงการณ์ประากการแต่งตั้งอ



ข้อเสนอของผมมีง่ายๆ สั้นๆ คือ

1.ก็กลับไปทำหน้าที่เป็นสื่อกลาง, ทำตัวเยี่ยงนักวิชาชีพ ตรวจสอบอย่างรอบด้าน, ตัดอคติออกเสีย อย่าเลือกข้างให้มันน่าเกลียดน่าชังไปกว่าที่เห็นและเป็นอยู่



2.ตรวจสอบสื่อให้มันได้มาตรฐานทั่วไปหน่อย วิชาชีพอื่นอย่างแพทย์ พยาบาล วิศวกร สถาปนิก นักวิเคราะห์หุ้น ฯลฯ เขามีช่องทางเข้าสู่อาชีพไม่ง่ายนะครับ ต้องเรียนต้องอบรมบ่มเพาะมา ต้องสอบใบอนุญาตให้ผ่าน ต้องมีจรรยาบรรณวิชาชีพ ทำผิดพลาดมามีบทลงโทษตั้งแต่ปรับ, แบล็กลิสต์, ยึดใบอนุญาต, ขังคุก



แต่สื่อมวลชน ประทานโทษนะครับ คุณจะจบอะไรมาก็ได้ คุณไม่ต้องผ่านการฝึกอบรม หรือฝึกฝนอะไรมาก็ได้ ไม่ต้องมีหน่วยงานกลางของทางราชการตรวจสอบว่า หากคุณทำผิด คุณต้องโดนแบล็กลิสต์ โดนยึดใบอนุญาต หรือโดนขังคุกแบบอาชีพอื่นนะครับ



โอเคครับ รุ่นพ่อรุ่นลุงของวงการเราสู้กันมามากเพื่อความเป็นอิสระในวิชาชีพนี้ ไม่ต้องการให้รัฐบาลควบคุม พวกเราจะควบคุมกันเอง แล้วไหนละครับ สภาการหนังสือพิมพ์ สภาการวิชาชีพสื่อ เคยขึ้นแบล็กลิสต์ใครซักรายหรือยัง เคยถอนใบอนุญาตนักข่าวสนาม บรรณาธิการสักกรณีให้เห็นไหม...ไม่มีครับ



แล้วเปรียบเทียบดูง่ายๆ ระหว่าง หมอ วิศวกร สถาปนิก นักวิเคราะห์หุ้น กับสื่อ ใครที่มีบทบาทมีผลกระทบต่อสังคมวงกว้างมากกว่ากันในการปฏิบัติหน้าที่...? หมอรักษาคนผิด โดนแพทยสภายึดใบอนุญาต ส่งตัวเข้าคุก วิศวกรออกแบบตึกผิด ตึกถล่มคนตาย โดนยึดใบอนุญาต ส่งเข้าคุก



นักข่าวส่งข่าวเข้าโรงพิมพ์ผิด ประเทศชาติเสียหาย คนทั้งชาติได้รับผลกระทบ นักข่าวก็ยังสบายดี ตกเย็นไปเมากันที่ Sky high หรือข้าวต้มอนันต์กันปกติ พรุ่งนี้สายๆ ก็เข้าโรงพิมพ์ไม่มีอะไรเกิดขึ้น



สังคมต้องเรียกร้องรูปธรรมในการกำกับสื่อครับ เอาเบื้องต้นนี้แหละ เอาแค่แบบที่วิชาชีพอื่นต้องปฏิบัติ เสรีภาพย่อมมาคู่กับความรับผิดชอบครับ

จัดฉาก..รถแก๊ส..




เมื่อเวลา 10.00 น. (13 เม.ย.) ที่บริเวณถนนศรีอยุธยา หน้าโรงพยาบาลสงฆ์ มีกลุ่มคนเสื้อแดงนำรถสิบล้อบรรทุกถังแก๊สขนาดใหญ่ ของบริษัทสยามแก๊ส มาจอดทิ้งไว้ โดยมีกลุ่มคนเสื้อแดงปักหลักคุมเชิงอยู่


รถแก็สมี 2 คัน คันหนึ่งขับไปที่ดินแดง คันหนึ่งจอดที่โรงพยาบาลสงฆ์แต่ไม่มีใครสนใจ ก็เลยขับกลับไปที่king power ไม่เห็นคนมีเสื้อแดงไปปล้นยึดเลย ...ถ้าดูรูปดีๆคนที่มีแต่ยาม ให้เปล่า


ขอร้องเถอะครับ ขอความกรุณารัฐบาลจัดการกับคนกระทำความผิดอย่างเท่าเทียมด้วย หรือพวกท่านจะจับแต่คนที่ทุบรถนายกเนื่องเพราะนายกเป็นบุคคล VIP ครับ แล้วชาวแฟลตดินแดงล่ะ กี่ร้อยคนที่ต้อง
ได้รับผลกระทบหากรถแกสระเบิดขึ้นมา ความเสี่ยงก็ไม่ต่างกับท่านโอบามาร์คผู้ยิ่งใหญ่หรอกครับ ทีคนทุบรถตั้งหลายคนท่านยังลงประกาศจับมีค่าหัวตามหน้าหนังสือพิมพ์ได้ กะอีแค่คนไม่กี่คนที่ยึดรถแกสมา รูปหน้าก็มี ทำไมท่านไม่ตั้งค่าหัวบ้าง จะได้ชัดเจนกันเสียที หรือท่านมีเหตุผลที่จะไม่จับคนยึดรถแกสครับ เพราะผมงงว่าท่านไม่น่าปล่อยให้รอดไปได้ อะไรที่เป็นเสื้อแดงท่านก็พยายามกำจัด อยู่แล้วนี่ หรือเพราะเป็นแดงเทียมครับ เลยมีอภิสิทธิ์มากกว่าแดงจริง

ทีตอนออกข่าวประนามเสื้อแดงทุกคนว่า เป็นการกระทำที่เป็นอันตรายร้ายแรงต่อประชาชน
แล้วถ้าอันตรายขนาดนั้น จะปล่อยไว้ ทำอะไรครับ

.....แล้วถ้าคนที่ยึดรถแกสถูกจับขึ้นมา จะออกหมายจับหรือ แค่เรียกมาฟังข้อกล่าวหาครับ

.....แล้วเราจะเห็นตำรวจโค้งให้คนที่มาฟังข้อกล่าวหามั้ยเนี่ย

อีกนิด

.... ท่านมาร์คสั่งทหารให้ล้อมคนเสื้อแดงไว้ไม่ให้ออก แต่ถ้ารถแกส รถเมล์เข้าไปนี่ ผ่านได้ใช่มั้ยครับ

ขอความชัดเจนครับ กับคำว่า " ไม่มี2 มาตรฐาน "

นั่นสิครับ เมื่อไหร่รัฐบาลจะจัดการให้เด็ดขาด
จะได้รู้แจ้งเห็นจริงว่า เสื้อแดงทำไปได้ทำไมช่างเก่งกล้า
สามารถจึดรถแก๊สได้ง่ายจัง
จับให้หมดครับอย่าให้มี 2 มาตรฐาน

ทั้งผู้ปฏิบัติการเสื้อแดง และจอมบงการ

จับใครได้ จับก่อนครับ

จับไม่ต้องดูสีเสื้อ

เวลานั้นรถแก๊สวิ่งเข้า กทม ได้ด้วย คนเสื้อแดงเก่งเจงๆๆ ฝากรัฐบาลจับตัว
ให้ได้ไวไว อยากเห็นหน้าจริงๆๆ

เผารถเมล์ด้วย ทำอะไรร้ายแรงขนาดนั้น ทำไมยังจับไม่ได้ ฆ่าคนที่นางเลิ้งด้วย เอาตัวมาเร็วๆ เราต้องการตัวคนทำผิด

นั่นสิครับ เรียกร้องให้ รัฐบาล เอาคนผิดมาลงโทษให้ได้ครับ
ปาไข่ ปาอิฐ ท่านยังจับได้รวดเร็ว

ใช่ครับเพื่อความยุติธรรมและเท่าเทียมกัน....

ไม่ว่าจะเอารถแก๊สมา ทุบรถนายกฯ ยิงสนธิ ยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน ไล่ยิงวิทยุชุมชนวิภาวดี ขับรถชนตำรวจ รุมทำร้ายตำรวจ ฯลฯ

ต้องดำเนินคดีตามกฏหมายอย่างเคร่งครัด และประกาศความคืบหน้าให้สังคมรับรู้......


ทำไมเรื่องต่างๆ มีหลักฐานทั้งรูปภาพถ่านทั้งคลิ๊ป พยานบุคคล เรื่องไม่ไปถึงไหนตั้งไม่รู้กี่เดือนแล้ว แต่เหตุการณ์ไม่กี่วันนี้ออกหมายจับตั้งค่าหัวกันวุ่นวาย...... ทำไมไม่ทำตามกฏหมายให้เป็นมาตรฐานเดียวล๊ะครับ ?


แล้วจะเรียกหา"สมานฉันท์" ได้อย่างไร ?


. ผมว่าถ้าจะตามกันจริงไม่ยากเลย
ว่า รถคันนั้นมาจากไหน
ตอนโดนยึดใครขับ
เป็นรถของบ.อะไร ใครเป็นเจ้าของ
มันสามารถประติดประต่อได้ทั้งนั้นแหละครับ

วิเคราะห์เชิงวิชาการ : คดีที่ดินรัชดาฯ

‘ตุลาการผู้ไม่ภิวัตน์’

ในช่วงรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ ได้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจทำให้สถาบันการเงินต่าง ๆ โดยเฉพาะบริษัทเงินทุนต่าง ๆ ขาดสภาพคล่อง ด้วยพฤติกรรมของพรรคประชาธิปัตย์ที่เคย
อิงแอบศักดินาอำมาตย์ และนายทุนสามานย์ ที่ยึดประโยชน์ของพวกตนเป็นใหญ่ จึงได้ทุ่มเทเงินจากภาษีของประชาชนเข้าช่วยเหลืออุ้มชูบริษัทเงินทุนเหล่านั้นไว้ โดยมิได้คำนึงถึงความทุกข์ยากแร้นแค้นของราษฎร์

บริษัทเงินทุน เอราวัณทรัสต์ จำกัด เป็นบริษัทหนึ่งที่ขาดสภาพคล่องในทางการเงิน กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินสังกัดธนาคารแห่งประเทศไทย ภายใต้การควบคุมดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังขณะนั้น ได้สั่งให้กองทุนฟื้นฟูฯเข้าแก้ไขฟื้นฟูโดยเพิ่มทุนให้ 300,000,000 บาท และรับโอนหุ้นจดทะเบียนและชำระค่าหุ้นแล้วจากบริษัทเงินทุนเอราวัณทรัสต์ จำกัด ร้อยละ 75 ทำให้กองทุนฟื้นฟูฯ เป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทดังกล่าวร้อยละ 92 แต่กระนั้นบริษัทก็ยังมีกองทุนติดลบอยู่ จำเป็นต้องทำให้เงินกองทุนของบริษัทเป็นบวกเสียก่อนนำออกขาย เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2538 กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน จึงซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษกของบริษัทเงินทุนเอราวัณทรัสต์ จำกัด 2 แปลง 31 โฉนด เนื้อที่รวม 121 ไร่ 2 งาน 34 ตารางวา เป็นราคาค่าซื้อทั้งสิ้น
4,889,497,500 บาท ซึ่งล้วนแต่เป็นเงินของประชาชนทั้งสิ้นต่อมากองทุนฟื้นฟูฯ ได้ปรับปรุงเกณฑ์บัญชีทรัพย์สินรอขายใหม่ทั้งหมดเพื่อรับรู้การขาดทุน โดยใช้ราคาประเมินของกรมที่ดินในขณะนั้นเป็นราคาที่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง เป็นผลให้ที่ดิน 2 แปลงดังกล่าวมีราคาลดลงเหลือเพียง 2,064,600,000 บาท เฉพาะแปลงที่ 2 ที่เกี่ยวกับคดีนี้มีราคา 754,500,000 บาท

เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2546 กองทุนฟื้นฟูฯ นำที่ดินแปลงที่ 2 ออกประมูลขายทางอินเตอร์เน็ต โดยกำหนดราคาขั้นต่ำไว้ที่ 870,000,000 บาท มีผู้ประสงค์จะซื้อ 8 ราย แต่เมื่อกำหนดต้องเสนอราคาปรากฏว่า ไม่มีผู้ใดเสนอราคาประมูล กองทุนฟื้นฟูได้ดำเนินการรังวัดแบ่งแยกที่ดินแปลงที่ 2 ออกเป็น 4 โฉนดโดยแบ่งหักส่วนที่เป็นสาธารณะประโยชน์ออกไป เหลือเนื้อที่ 22 ไร่ 78.9 ตารางวา หลังจากนั้นจึงประกาศขายที่ดินนี้ใหม่อีกครั้งโดยวิธีประกวดราคาโดยไม่กำหนดราคาขั้นต่ำเอาไว้ มีผู้เสนอราคา 3 ราย คือบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เสนอราคา 730,000,000 บาท บริษัท โนเบิลดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เสนอราคา 750,000,000 บาท และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร จำเลยที่ 2 เสนอราคา 772,000,000 บาท ซึ่งเป็นผู้ให้ราคาสูงสุด และสูงกว่าราคาที่ดินที่ปรับแล้วคือ 754,500,000 บาท กองทุนฟื้นฟูจึงประชุมกันและอนุมัติให้คุณหญิงพจมาน เป็นผู้ชนะการประกวดราคา คุณหญิงพจมานได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าวกับกองทุนฟื้นฟูฯ เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2546 และชำระราคาครบถ้วนในเวลาต่อมาก่อนที่จะทำสัญญาซื้อขาย และจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินกันในวันที่ 30 ธันวาคม 2546 โดยพันตำรวจ ดร.ทักษิณ ชินวัตร จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อในหนังสือให้ความยินยอมแก่คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ซึ่งเป็นภรรยา โดยมอบหลักฐานสำเนาบัตรประจำตัวประเภทข้าราชการการเมือง ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีประกอบการทำสัญญาด้วย

มีปัญหาว่า โดยหลักกฎหมายและหลักนิติธรรม Rule of Law แล้วพันตำรวจโท
ดร.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะจำเลยที่ 1 และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ในฐานะจำเลยที่ 2
ควรต้องรับโทษในทางอาญาหรือไม่

ตามคำพิพากษาที่ได้อ่านและเปิดเผยแล้ว ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 ตามที่โจทก์(อัยการสูงสุด) บรรยายฟ้องมามีเพียงการที่จำเลยที่ 1 ให้ความยินยอมแก่จำเลยที่ 2 ในการร่วมประมูลซื้อและทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาท และจากการไต่สวนพยานของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองประกอบรายงานสรุปสำนวนการตรวจสอบไต่สวนของ คตส. (คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ) ได้ความว่า การดำเนินการตั้งแต่ร่วมเสนอราคา ทำสัญญาจะซื้อจะขายจนกระทั่งทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทกับกองทุนฟื้นฟูฯ นั้น เป็นการดำเนินการของจำเลยที่ 2 เพียงคนเดียว โดยไม่ได้ความว่า จำเลยที่ 1 มีการกระทำการอย่างใดที่แสดงให้เห็นว่าร่วมกระทำการดังกล่าวกับจำเลยที่ 2 ด้วย จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนกระทำหรือเกี่ยวข้องในอันที่จะแสดงให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยที่ 1 ว่าประสงค์จะมีเจตนาร่วมซื้อที่ดินพิพาทกับจำเลยที่ 2 ลำพังการที่จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อให้ความยินยอมในสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาท ยังไม่มีเหตุผลเพียงพอถึงขนาดให้รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนากระทำการร่วมกับจำเลยที่ 2 แล้ววินิจฉัยเฉพาะจำเลยที่ 2 ว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้กระทำผิดเพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าการกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ จึงให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2

ส่วนพันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร จำเลยที่ 1 นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของ
ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ปรับบทกฎหมายตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 100 และมาตรา 122 ว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดและพิพากษาจำคุก 2 ปี โดยไม่รอการลงอาญา

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
พ.ศ. 2542 มาตรา 100 บัญญัติว่า “ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดดำเนินกิจการ
ต่อไปนี้ (1) เป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้เสียในสัญญาที่กำกับหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นปฏิบัติหน้าที่ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดำเนินคดี” วรรคสองบัญญัติว่า “เจ้าหน้าที่ของรัฐตำแหน่งใดที่ต้องห้ามมิให้ดำเนินกิจการตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา” (ซึ่งหมายถึง นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีด้วย) และวรรคสามบัญญัติว่า

“ให้นำบทบัญญัติในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับกับคู่สมรสของเจ้าหน้าที่ของรัฐตามวรรคสอง โดยให้ถือว่าการดำเนินกิจการของคู่สมรส ดังกล่าวเป็นการดำเนินกิจการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ”


มาตรา 122 บัญญัติว่า “เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 100 มาตรา 101 หรือมาตรา 103 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ” และวรรคสองบัญญัติว่า “กรณีความผิดตามมาตรา 100 วรรคสาม หากเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดพิสูจน์ได้ว่า ตนมิได้รู้เห็นยินยอมด้วยในการที่คู่สมรสของตนดำเนินกิจการตามมาตรา 100 วรรคหนึ่ง ให้ถือว่าผู้นั้นไม่มีความผิด” ดังนี้


จะเห็นได้ว่า ตามคำวินิจฉัยของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏนั้น พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตจร จำเลยที่ 1 ไม่ได้ร่วมเสนอราคาในการประมูลซื้อที่ดินพิพาทกับคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ไม่ได้เป็นผู้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทไม่ได้เป็นผู้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาท แต่เป็นการดำเนินการของคุณหญิงพจมาน จำเลยที่ 2 แต่เพียงผู้เดียว ไม่ได้ความว่าจำเลยที่ 1 มีการกระทำการอย่างใดที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกระทำการดังกล่าวกับจำเลยที่ 2 ด้วย เหตุนี้จำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่ผู้ที่ได้กระทำการใดหรือลงมือกระทำการใด อันจะปรับได้ว่าเป็นผู้กระทำความผิดในตัวของจำเลยที่ 1เอง แต่จะเป็นความผิดได้เพราะการกระทำของคู่สมรสคือคุณหญิงพจมาน ผู้ภรรยาเท่านั้น ดังนั้นในเบื้องต้นจึงถือไม่ได้ว่าพันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร จำเลยที่ 1 เป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้เสียในสัญญาที่กำกับหน่วยงานของรัฐอันจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 100 วรรคหนึ่ง (1)

ปัญหามีว่าพันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร จำเลยที่ 1 ควรจะต้องรับโทษในทางอาญาเพราะการกระทำของคู่สมรสคือ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร จำเลยที่ 2 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 100 วรรคสามหรือไม่ เห็นว่า เมื่อการกระทำของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร จำเลยที่ 2 ไม่เป็นความผิดเพราะเป็นการเข้าประมูลประกวดราคาซื้อที่ดินโดยสุจริตและเปิดเผย และเงินที่ชำระราคาที่ดินที่ประมูลได้ก็ไม่ใช่ทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิด ต้องคืนแก่คุณหญิงพจมานจำเลยที่ 2 ไปเช่นนี้ จึงไม่อาจจะนำเอาการกระทำที่ไม่เป็นความผิดของคุณหญิงพจมานไปเป็นการกระทำที่เป็นความผิดเพื่อลงโทษพันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร จำเลยที่ 1 ซึ่งไม่ได้กระทำหรือลงมือกระทำใด ๆ ดังกล่าวแล้วได้


นอกจากนั้น ตามมาตรา 122 วรรคสองยังบัญญัติไว้ดังกล่าวข้างต้นด้วยว่า “กรณีความผิดตามมาตรา 100 วรรคสาม หากเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใด พิสูจน์ได้ว่า ตนมิได้รู้เห็นยินยอมด้วยในการที่คู่สมรสของตนดำเนินกิจการตามมาตรา 100 วรรคหนึ่ง ให้ถือว่าผู้นั้นไม่มีความผิด” ดังนี้ เมื่อข้อเท็จจริงซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองรับฟังเป็นยุติมาแต่แรกดังกล่าวแล้วว่า การดำเนินกิจการของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร จำเลยที่ 2 คู่สมรสของจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับการเข้าประมูลซื้อที่ดินพิพาทนั้น เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 2 ดำเนินการด้วยตนเองตามลำพังเพียงคนเดียว ตั้งแต่การร่วมเสนอราคาการทำสัญญาจะซื้อจะขายตลอดจนกระทั่งทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาท โดยพันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร จำเลยที่ 1 ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือไม่ได้กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนกระทำหรือเกี่ยวข้องในอันที่จะแสดงว่าจำเลยที่ 1 ประสงค์จะมีเจตนาร่วมซื้อที่ดินพิพาทกับจำเลยที่ 2 ด้วย
ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏชัดแจ้งต่อศาลดังที่ปรากฏในคำวินิจฉัยของศาลเองเช่นนี้แล้ว การดำเนินกิจการดังกล่าวของจำเลยที่ 2 ในฐานะคู่สมรสของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการดำเนินการของจำเลยที่ 2 เองตามลำพัง จำเลยที่ 1 จึงไม่ได้รู้เห็นด้วย เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ได้รู้เห็นตั้งแต่ต้นเสียแล้ว โอกาสที่จำเลยที่ 1 จะให้หรือไม่ให้ความยินยอมจึงไม่มีหรือเป็นไม่ได้อยู่ในตัวซึ่งก็ไม่ผิดวิสัยที่ครอบครัวที่ร่ำรวยมั่งคั่งมีทรัพย์สินนับแสนล้านบาท อย่างเช่นจำเลยที่ 1 และ จำเลยที่ 2 จะทำเช่นนั้นได้ การที่จะเหมารวมและฟังเป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ 1 ว่าจำเลยที่ 1 รู้เห็นเป็นใจหรือให้ความยินยอมแก่จำเลยที่ 2 ในการเข้าประมูลซื้อที่ดินพิพาท อันถือเป็นการกระทำของจำเลยที่ 1 และลงโทษจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 100 (1) ประกอบด้วยมาตรา 122 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ. 2542 นั้น น่าจะไม่เป็นไปตามบทกฎหมายและความเป็นจริงดังกล่าวแล้ว

ลำพังการยินยอมที่สามีให้แก่ภรรยาภายหลังจากภรรยาได้อสังหาริมทรัพย์มาจากการประมูลขายโดยชอบนั้น หาเป็นเหตุที่จะแสดงว่า สามีได้รู้เห็นยินยอมให้คู่สมรสของตนดำเนินกิจการที่ผิดกฎหมายมาแต่แรก อันจะทำให้สามีต้องรับโทษในทางอาญาไม่ และเมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยมาแล้วว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระทำของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 ไม่ประสงค์ที่จะมีเจตนาซื้อที่ดินพิพาทกับจำเลยที่ 2 แล้ว การที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองไม่มีพยานหลักฐานใดมาพิสูจน์ให้เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 มิได้รู้เห็นยินยอมด้วยในการที่จำเลยที่ 2 ดำเนินการตามมาตรา 100 นั้น ย่อมเท่ากับบังคับให้จำเลยที่ 1 หรือจำเลยที่ 2 นำพยานหลักฐานมาสืบพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ศาลรู้เองอยู่แล้ว ทั้งศาลก็ได้รับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นยุติมาแต่แรกดังกล่าวแล้ว น่าจะเป็นการขัดต่อข้อเท็จจริงที่ปรากฏ เหตุนี้ที่อ้างว่าจำเลยทั้งสองไม่มีพยานหลักฐานมาพิสูจน์ให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 มิได้รู้เห็นยินยอมและลงโทษจำเลยที่ 1 จึงน่าจะขัดต่อเหตุผลและความเป็นจริงและไม่ต้องด้วยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2541 มาตรา 122 วรรคสอง ปัญหาจึงควรแก่การพิจารณาว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำผิดบทกฎหมายดังกล่าวหรือไม่

ยิ่งกว่านั้นในคดีที่มีองค์คณะผู้พิพากษาหลายคนที่จะต้องร่วมกันพิพากษาคดีโดยเฉพาะคดีอาญานั้น กฎหมายได้บัญญัติไว้อย่างเคร่งครัดและชัดเจนถึงการใช้ดุลพินิจและการออกเสียงลงมติในการพิพากษาแต่ละคดีว่า

1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 39 บัญญัติว่า “บุคคล
ไม่ต้องรับโทษอาญา เว้นแต่ได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลากระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้และโทษที่จะลงแก่บุคคลนั้น จะหนักกว่าโทษที่กำหนดไว้ในกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทำความผิดมิได้

ในคดีอาญา ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด”

2. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 บัญญัติว่า “ให้ศาล
ใช้ดุลพินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวงอย่าพิพากษาลงโทษจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทำผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น

เมื่อมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ ให้ยกประโยชน์
แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย”

3. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 184 บัญญัติว่า “ในการประชุมปรึกษาเพื่อมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้อธิบดีผู้พิพากษา ข้าหลวงยุติธรรม หัวหน้าผู้พิพากษาในศาลนั้น หรือเจ้าของสำนวนเป็นประธาน ถามผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาทีละคนให้ออกความเห็นทุกประเด็นที่จะวินิจฉัยให้ประธานออกความเห็นสุดท้าย การวินิจฉัยให้ถือตามเสียงข้างมากถ้าในปัญหาใดมีความเห็นแย้งกันเป็นสองฝ่าย หรือเกินกว่าสองฝ่ายขึ้นไปจะหาเสียงข้างมากมิได้ ให้ผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยมากยอมเห็นด้วยผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยน้อยกว่า”

ปรากฏว่าในคดีที่ดินรัชดาฯ นี้ มีผู้พิพากษาเป็นองค์คณะ 9 คน การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีต้องดำเนินการให้เป็นไปโดยยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมายและในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ ทั้งนี้ตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 197 วรรคแรก บัญญัติไว้ ดังนั้นผู้พิพากษาทั้ง 9 คน จึงต้องตระหนักและต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าพันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ไม่มีความผิดตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

พ.ศ. 2550 มาตรา 39 วรรคสอง และหากกรณีมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 สำหรับการประชุมปรึกษาเพื่อมีคำพิพากษาคดีดังกล่าวนี้

แม้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2542 มาตรา 20 จะบัญญัติว่า

“การทำคำสั่งที่เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดหรือพิพากษาคดี ให้ผู้พิพากษาในองค์คณะผู้พิพากษาทุกคนทำความเห็นในการวินิจฉัยคดีเป็นหนังสือพร้อมทั้งต้องแถลงด้วยวาจาต่อที่ประชุมก่อนการลงมติ และให้ถือมติตามเสียงข้างมาก ในการนี้องค์คณะผู้พิพากษาอาจมอบหมายให้ผู้พิพากษาคนใดคนหนึ่งในองค์คณะผู้พิพากษาเป็นผู้จัดทำคำสั่งหรือคำพิพากษาตามมตินั้นก็ได้...” ก็ตาม

แต่ก็ไม่ปรากฏมีข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาหรือบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ บัญญัติถึงการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนในการประชุมปรึกษาคดีไว้ ตลอดจนกรณีที่มีความเห็นแย้งกันเป็นสองฝ่ายจะหาเสียงข้างมากมิได้นั้น จะต้องดำเนินการอย่างไร ด้วยเหตุนี้ความในมาตรา 18 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน จึงบัญญัติว่า

“...ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญาใช้บังคับ...โดยอนุโลม” นั่นก็คือต้องนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 184 ข้างต้น มาบังคับใช้นั่นเอง โดยบทกฎหมายดังกล่าวไม่ได้บัญญัติให้ผู้พิพากษาทั้ง 9 คนออกเสียงพร้อมกันในคราวเดียวกันเพื่อให้ได้เสียงข้างมาก แต่บัญญัติให้ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนต้องทำหน้าที่เป็นประธานยังไม่มีสิทธิออกเสียงทันทีถามผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาอีก 8 คนทีละคนว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดหรือไม่ปรากฏจากคำพิพากษาที่อ่านและเปิดเผยแล้วว่า คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 คนลงมติด้วยคะแนน 5 ต่อ 4 ว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดให้จำคุก 2 ปี ย่อมแสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า ในชั้นที่ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนทำหน้าที่ประธานสอบถามความเห็นผู้พิพากษาอีก 8 คนนั้นมีผู้พิพากษา 4 คนเห็นว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดแต่ผู้พิพากษาอีก 4 คนเห็นว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีความผิดคะแนนเสียงจึงเป็น 4 ต่อ 4 เท่ากันแย้งกันอยู่กรณีเช่นนี้ ณ เวลานั้นขณะนั้นจึงต้องด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายรัฐธรรมนูญและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาดังกล่าวข้างต้นว่าต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีความผิดและกรณียังเป็นที่สงสัยว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดจริงหรือไม่เพราะมีคะแนนเสียงเท่ากันหาเสียงข้างมากไม่ได้ ซึ่งกรณีย่อมต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 184 ที่บัญญัติว่า

“ถ้าปัญหาใดมีความเห็นแย้งกันเป็นสองฝ่าย จะหาเสียงข้างมากมิได้ ให้ผู้พิพากษาที่เห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยมากยอมเห็นด้วยผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยน้อยกว่า” อีกด้วย

ดังนั้นผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดีนี้ ซึ่งเป็นประธานและต้องออกเสียงเป็นคนสุดท้ายจึงต้องถูกผูกมัด และถูกบังคับด้วยบทกฎหมายที่บัญญัติไว้อย่างชัดแจ้งดังกล่าว ให้จำต้องลงมติว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีความผิดเพราะเป็นผลร้ายแก่จำเลยน้อยกว่า แม้ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนจะมีความเห็นขณะนั้นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดก็ตาม เหตุนี้คะแนนเสียงของผู้พิพากษาคดีนี้ ที่พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ด้วยคะแนน 5 ต่อ 4 จึงเท่ากับว่าผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนที่ออกเสียงเป็นคนสุดท้ายได้ลงมติว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดซึ่งเป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ 1 มากกว่า น่าจะเป็นการฝ่าฝืนและขัดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 39 วรรคสอง และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 และมาตรา 184 จึงมีข้อพิจารณาว่าเป็นการลงมติที่ถูกต้องหรือไม่ คำพิพากษาคดีนี้สามารถยืนยันได้แท้จริงหรือไม่ว่าพันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร จำเลยที่ 1 ควรต้องรับโทษในทางอาญา

อนึ่งการลงมติที่จะต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 184 ดังกล่าวนี้ย่อมครอบคลุมทุกประเด็นปัญหาในการประชุมเพื่อมีคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีอาญา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาว่า จำเลยกระทำผิดหรือไม่ ควรลงโทษจำเลยหรือไม่เพียงใดหรือสมควรลงโทษหรือรอการกำหนดโทษ หรือกำหนดโทษแต่รอการลงโทษจำเลยไว้หรือไม่เป็นต้น ดังจะเห็นได้จากถ้อยคำตามตัวบทมาตรา 184 ที่ว่า “...ให้เจ้าของสำนวนเป็นประธาน ถามผู้พิพาทที่นั่งพิจารณาทีละคน ให้ออกความเห็นทุกประเด็นที่จะวินิจฉัย... ถ้าในปัญหาใด มีความเห็นแย้งกัน…” ดังนี้ แสดงว่าการลงมติขององค์คณะผู้พิพากษาในคดีอาญาต้องปฏิบัติตามความในมาตรา 184 ทุก ๆ ประเด็นปัญหา ไม่มีข้อยกเว้น

ด้วยเหตุผล ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่กล่าวมา พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร จำเลยที่ 1 จะได้รู้เห็นยินยอมให้คุณหญิงพจมาน ชินวัตร จำเลยที่ 2 ดำเนินกิจการเป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้เสียในสัญญาที่จะทำให้จำเลยที่ 1 กลายเป็นผู้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 100(1) และมาตรา 122 วรรคสอง หรือไม่และการประชุมปรึกษาองค์คณะผู้พิพากษาเป็นการประชุมและลงมติที่สอดคล้องกับกฎหมายดังกล่าวมาแล้วหรือไม่ หากองค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 คนได้ลงมติให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติไว้อย่างถูกต้องครบถ้วนแล้ว มติในการพิพากษาคดีนี้น่าจะเป็นว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ทำผิดด้วยคะแนนเสียง 5 ต่อ 4 ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายรัฐธรรมนูญและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาดังกล่าวหรือไม่

หากกรณีเป็นไปตามที่กล่าวมาโดยลำดับ สมควรหรือไม่ที่พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร จะต้องได้รับโทษในทางอาญา

มหากาพย์ ตอนที่สอง เสียงของประชาชนที่ต้องการได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมเรียกร้องความยุติธรรม
















เสียงของประชาชน
ที่ต้องการได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม
เรียกร้องความยุติธรรม

มหากาพย์ ตอนที่สอง ไล่ล่า อำมาดชั่ว และ ทรราดมือเปื้อนเลือด

การจัดชุมนุมเมื่อวานที่สนามหลวง ฉุกละหุกพอสมควร กว่าจะตั้งเวที่ได้ เกือบ 6 โมงเย็น
เพราะอุปสรรคที่โดนกลั่นแกล้ง จากเผด็จการ หลายวิธีการล้วน แต่ บีบเพื่อไม่ให้มีการชุมนุม

แต่ไม่คาดคิดว่า คนจะมากันเองล้นหลามเป็นหมื่น ครั้งแรก คิดว่ามีเฉพาะหน้าเวที

เดินไป ด้านหลัง มีจอ ถ่ายทอด เห็นจำนวนคนเป็นพัน นั่ง ยืนฟังเต็มไปหมด

เสื้อผ้าหลากสี เหมือน ดอกไม้ กระจายเต็มสวน

ต่างใส่เสื้อ สีอะไรก็ได้ แต่จิตใจ สีแดง พร้อมมาโห่ไล่ นายอะพิสิด และเผด็จการชั่ว

แกนนำบนเวที รุ่นสองก็มีพลังล้นเหลือ อีกไม่นานจะบ่มเพาะไม่แพ้ รุ่นแรกๆ

มีโฆษก หนุ่มน้อย ที่ ลีลา เสียง ดี ตรึงคนฟังได้เยี่ยม ไม่นับ สมชาย ไพบูลย์ อ.จรัญ สมยศ และแกนนำ จาก ตจว

มิน่า ตายสิบเกิดแสน

ร.บ โจร คิดว่า จับ วีระ ณัฐวุฒิ หมอเหวง ใครต่อใครแล้ว จบ

เมื่อคืนสายสืบคงรายงานไปแล้ว

งานนี้ไม่จบ

แต่ คนจบ คือ นายอะพิสิด และ อำมาตย์ชั่ว ที่คนเสื้อแดง เห็นพ้องว่า อยู่ไป ก็ รก โล.....กกกกกกกกกก ประชาธิปไตย

นักการเมืองโกงกินยังใช้กม.เล่นงานได้
อำมาตย์ใช้เพาเวอร์ช่วยพวกพ้องกับตัวเองโกงกินแต่กม.ทำอะไรไม่ได้
ใครที่ชอบด่านักการเมือง แต่ไม่พูดถึงอำมาตย์
เป็นเพราะไม่รู้หรือเพราะมีอคติหรือเพราะถูกล้างสมอง
อย่างคดี ปรส. ประเทศและนักธุรกิจเสียหายหลายแสนล้านบาท
ด้วยฝีมืออำมาตย์ที่เข้ามาฉกฉวยโอกาส
จนป่านนี้ยังไม่มีองค์กรอิสระที่ชอบพูดว่าไม่อยากให้ใครแทรกแซง.....ก็ยังเงียบเป็นป่าช้า
ไม่ยอมทำอะไรจนคดีใกล้หมดอายุความ

ไหนล่ะองค์กรอิสระที่ชอบหาว่า รัฐบาล ทรท.แทรกแซง.........ใครกันแน่ที่แทรกแซงแล้วโยนบาปให้นักการเมืองด้วยภาพลักษณ์ที่สุภาพนุ่มนวลแต่แฝงความร้ายกาจไว้ภายใน

เห็นจำนวนคนเสื้อแดงที่ไปชุมนุมที่สนามหลวงแล้วอึ้ง........
ไม่เสียแรงที่รอคอยชมข่าวสามมิติของคุณกิตติ น่าจะเป็นข่าวที่เป็นกลางที่สุดแล้วในขณะนี้

จำนวนคนประมาณอย่างน้อยๆ สองถึงสามหมื่นคน แต่เสื้อเหลืองบางคนที่โอ้อวดตัวเองว่าเป็นตากล้องตัวจริงชั้นคุณภาพที่ 1 ( อยากหัวเราะเป็นภาษาฝรั่ง ) บอกว่าประมาณสามพันคน ( ฮา )

นี่ขนาดแกนนำคนสำคัญๆไม่ได้ไป เพราะโดนกฏหมายสองมาตรฐานขู่เอาไว้ว่าจะยกเลิกการประกันตัว ในขณะที่อีกสีหนึ่ง ให้ประกันตัวโดยไม่มีข้อแม้ คนยังเกือบเต็มสนามหลวง

อย่ามาเยอะกว่านี้เลย แค่นี้เหลืองในนี้ก็ดิ้นทุรนทุรายเหมือนไส้เดือนโดนขี้เถ้าแล้ว ( ฮา )

อ้อ ! แล้วก็ไม่ต้องวิตกจริตกันหรอก เค๊าชุมนุมไม่ยืดเยื้อ เดี๋ยวก็จะเลิกแยกย้ายกันกลับบ้านแล้ว

คิดๆดู ถ้าผมเป็นมาร์คกับเทือกก็คงเซ็งเป็ดเหมือนกัน

อุตส่าห์ทั้งจับทั้งขู่ ทั้งยึดสถานีวิทยุโทรทัศน์ ยกเลิก พรก.เช้า แค่ตกเย็นมันมากันขนาดนี้

เฮ้อ ! ลาออกซะดีมั๊ย เซ็งว่ะ

ถือเป็นบุคคลที่น่าอันตรายอย่างยิ่งชองสังคมไทยนายกวีไกร











โดยการส่งอีเมล์ไปแจ้งความที่

ศูนย์ตราจสอบและวิเคราะห์การกระทำผิดทางเทคโนโลยี
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ htcc@police.go.th

พร้อมกับแนบหลักฐานดังต่อไปนี้

ผู้ที่มีจิตใจใฝ่ไปในวามรุนแรง และ ข่มขู่ผู้อื่นในโลกไซเบอร์อย่างนี้ สามารถจะดำเนินการทางกฎหมายเพื่อเอาผิดได้เพราะการกระทำที่เคยทำมันก็บ่งบอกว่าผู้ชายคนนี้ นิยมความรุนแรง และ ผู้ชายคนนี้ยังออกตัวอีกว่า

เป็นบุคคลไม่มีศาสนา แสดงว่าเขาไม่มีอะไรพอที่จะสามารถเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจได้เลย

ถือเป็นบุคคลที่น่าอันตรายอย่างยิ่งชองสังคมไทย

----------------------------------

ขอแรงเพื่อน ๆ ทุกคนช่วยกันส่งเมล์ไปเยอะ ๆ......

เพื่อให้ผู้ชายคนนี้ ได้รับผล จากสิ่งที่เขาทำด้วย

อยากให้ลองสังเกตอีกนิด พอดีไปอ่านในมติชนมีคนโพสสงสัยว่านายกวีไกรใส่เสื้อสีแดงข้างใน เพื่อวัตถุประสงค์อะไร หรือว่านายคนนี้ปลอมตัวเป็นคนเสื้อแดงเพื่อสร้างสถานการณ์ด้วย

ปากเป็นเอก เลขเป็นโท





เขาเกิดมาเพื่อพูดให้ดูดีเสมอ เป็นยอดอัฉริยะแห่งยุค มุมมองการชุมนุม
ระหว่างเหลืองกับแดงก็ต่างกัน สามารถพูดให้เหลืองเป็นวีระบุรูษได้ ในทาง
กลับกันสามารถพูดให้แดงเป็นมหาวายร้ายได้ สามารถสรรคำมาพูดให้
ดูดีได้ ให้คนเห็นคล้อยตามได้ อย่างน่าประหลาด ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ
มันดูดีมีเหตุผล ไม่ว่าขาวหรือดำ บางอย่างเหตุการเดียวกัน ยังมองต่างมุมได้
อย่างน่าฟัง มองต่างมุมกับคนอื่น ก็เป็นเรื่องปกติ แต่นี่มองต่างมุมกับตัวเอง นี่ซิประหลาด คนผู้นี้เกิดมาเพื่อพูด โบราญเรียก "ปากเป็นเอก เลขเป็นโท"

ตอนเป็นฝ่ายค้านเห็นพูด เหมือนเก่งทุกเรื่อง โจมตีประชานิยม เป็นเรื่องที่
เลวร้าย พอถึงคราวตัวเอง ทำประชานิยม อย่างไร้เหตุผล เอาเงินมาแจก
ที่ทั้งถังแตก ก็ยังทำไปได้ อ้างกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็คอยดูผลก็แล้วกัน

กู้ กู้ กู้ จนหาที่กู้ไม่ได้ หาเงินไม่เป็น ในชีวิตจริงก็หาไม่เป็น เด็กสองคน
ทั้งที่มีโอกาสมาก ตั้งแต่เกิดมาใช้เงิน มากกว่าตัวหาได้ จะไปช่วยชาติได้
ยังไง เอามาเป็นผู้บริหาร ประเทศชาติในภาวะแบบนี้ หมดหวัง............
ชาติเสียหายใครรับผิดชอบ

ชอบคำพูดเสนาะ ไปหักดิบเขามา ถ้าประชาชนเลือกมา จะได้โทษประชาชน
แล้วนี่ จะโทษใครดีละครับ

ทำไมล่ะครับ ?
1 เรื่องข้อมูลเท็จ
1.1 กรณี มาร์ค เป็นขุนพล อภิปรายสัญชาติ บรรหาร ได้นำข้อมูลต่างๆซึ่ง
บ่งบอกว่า บรรหาญไม่ได้ถือ สัญชาติไทย พร้อมเย้ยหยัน บรรหาร ด้วยคำพูดและสีหน้า (รวมทั้ง สสในพรรคอีกหลายคน)
ผล - หนูนาร้องไห้ พร้อมยืนยัน ว่าพ่อเป้นคนไทย สุดท้าย บรรหาร น้อยใจ
ลาออก (ใจเสาะเพราะโดนขุดประวัติโคตรเง่า)
ต่อมาภายหลัง มีการตรวจสอบ เรื่องหลักฐานที่ นำมาอภิปรายบางส่วนเป็น
"หลักฐานเท็จ"
แต่.. อภิสิทธิ กับ ปชป. ยิ้มเริงร่า กับผลงานที่ใส่ร้ายคนอื่นเพื่อให้พรรคพวก
ได้ประโยชน์
คำถาม?
- ทำไมก่อน อภิปราย บรรหารไม่ตรวจสอบข้อมูล นำหลักฐานเท็จมาพูดในสภา อันทรงเกียรติ ได้อย่างไร และ อภิสิทธิ์ ก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ ลอยหน้าลอยตา
และไม่ต้องรับผิดชอบอะไร
และเมื่อมาถึงปัจจุบัน นาย อภิสิทธิ์ กำลังพูดเรื่องให้มีการตรวจสอบข้อมูลที่มีการนำเสนอจาก สื่อต่างๆให้เตรงกับ"ความจริง"(ตามที่รัฐบาลต้องการ)
1.2 กรณี ASTV โดยสนธิ เสนอข่าวต่างๆก่อนมีการปฎิวัติเช่น วัดพระแก้วปฏิณญาฟินแลนด์ และอีกมากมาย ทั้ง เวที web manager ,FWmail
" ในช่วงนั้นอภิสิทธิ์ ไม่เคยเสนอให้ตรวจสอบ ข้อมูลของ ASTV เลย"
แถมส่งคน ปชป ไปช่วยปล่อยข่าวลืออีกต่างหาก
" สิ่งที่อภิสิทธิ์เรียกร้องคือเรียกร้อง รัฐบาลอย่าปิดกั้นสื่อ และรัฐ อย่าละเมิด
สิทธิการรับรู้ข่าวสารของประชาชน " โดยเฉพาะที่ ASTVช่วงที่มีการ ยึดทำเนียบ และ การสลายการชุมนุม พธม ด้วยแก๊ส น้ำตา และ การปิดสนามบิน ASTV ถ่ายทอดสด อภิสิทธิ์ นิ่งเฉยเรื่องการปลุกระดม และการปล่อยข้อมูลเท็จ ต่างๆ มากมาย?
" พอมาถึงตอนนี้ ตัวเองได้เป้นนายก พอโดนข่าว ที่โจมตี รัฐบาลบ้าง กลับบอก ควรตรวจสอบข้อมูล เพื่อให้ประชาชนรับข้อมูลที่ถูกต้อง(รัฐบาลจะเป็นคนตรวจสอบเองว่าอันไหนประชาชนควรรู้และไม่ควรรู้)

2. เรื่องประชาธิปไตย
" อภิสิทธิ์ และ ปชปก่อนเป็นนายก 3-4 ปี"
2.1 ไม่ยอมลงรับสมัครเลือกตั้งตามกฏหมาย หลังทักสินยุบสภา
สาเหตุบอกเสียเปรียบรัฐบาล และอ้าง รัฐบาลไม่ทำตามข้อเรียกร้อง
2.2 ขึ้นเวทีปราศรัยบอก ประชาชนไม่ให้ไปเลือกตั้ง ด้วยการขึ้นเวที
2.3 ขึ้นเวทีปราศรัยบอก ประชาชนไม่ให้ เสียภาษี
2.4 ขอนายก ม.7
2.5 ปิด วิทยุชุมชน รายการTV ที่มีความเห็น ขัดแย้งรัฐบาล และปิด
D-STATION (สาทิด บอก ไทยคมปิดเอง แต่ไทยคมขึ้นข้อความ หน้าจอว่าปฎิบัติ ตามคำสั่ง พรก ฉุกเฉินของรัฐบาล)
3 เรื่องนโยบายประชานิยม ที่เคยด่าทักษิน
3.1 ถ้าเคยดูอภิปรายไม่ไว้วางใจช่วงรัฐบาลทักษิน 1,2 คุณจะเห็นว่า
ปชป รวมถึง อภิสิทธิ์ ต่อว่านโยบายต่างของทักษินนั้น เลวหมด ไม่มีดีสักเรื่อง มอมเมาประชาชน ทำให้สังคมฟุ้งเฟ้อ ต่างๆนา ทั้งที่ไม่ สนใจรัฐบาล
ทักสินเลยแม้แต่น้อยว่ามีเหตุผล และความจำเป้นในการใช้นโยบาย
ต่างๆ ทำไม อย่างไร พอ อภิสิทธิ์ได้เป็นนายก กลับจับมือกับเนวิน
คนที่ ปชป เคยโจมตี ด่า ต่างๆนาๆ และนโยบายหลายนโยบาย ก็ ลอกเขามา ทั้งที่เคยด่าไว้ แต่มาอ้างความจำเป็น (ตอนสมัยทักษิน รัฐบาลก็มีความจำเป็น และเหตุผล มันไม่ฟัง ด่าอย่างเดียว)
///////////////////////////////////////////
ที่ผ่านมาผม เห็นพรรคนี้ ไม่เคยมีความจริงใจกับประชาชนอย่างแท้จริงและพูดและ ทำ ทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองและได้ประโยชน์เท่านั้น ส่วนเรื่อง กะล่อน และแก้ตัว ต้องยกนิ้วให้ ว่า กะล่อนไร้เทียมทานจริงๆ

ว่า UAE ไม่ให้ทักษิณใช้เป็นที่โจมตีรัฐบาล ตกลงรัฐบาลปล่อยข่าวเองหรืออย่างไง เพราะเขาเตรียมจะแถลงเองแล้ว ดีเหมือนกันจะได้รู้เรื่องจริง ถ้ารัฐบาลปล่อยข่าวเองความเสื่อมจะมาเยือนความน่าเชื่อถือจะยิ่งน้อยลง เพราะเรื่องพลาสปอตร์แดงตอนนั้นก็ทีหนึ่งแล้ว สรุปเขาได้จริง เมื่อไหร่พรรคการเมืองนี้จะเลิกวิธีแบบนี้สักที