Tuesday, April 28, 2009

วาระสุดท้ายของขบวนการอำมาตย์







วาระสุดท้ายของขบวนการอำมาตย์
ไม่ว่าจะลับ ลวง พราง อย่างไร ก็หนี วัฏฏะ ไม่พ้น วัฏฏะ ในที่นี้ เป็นได้ทั้ง วัฏสงสาร และ วัฏจักร ในส่วนแรก คนทุกคนต้อง มีแก่ มีเจ็บ มีตาย เป็นเรื่องที่ไม่ต้องอธิบายความให้มาก จะอายุยืนถึง 100 ปี เพราะมียาดี อย่างไรก็ต้องตาย ในส่วนที่สอง ก็ต้องเป็นไปตามวิวัฒนาการ ไม่มีระบบใด อาณาจักรใด อำนาจของกลุ่มใดจะอยู่ได้ตลอดไป ในอดีตก็เห็นกันอยู่

อำมาตยาธิปไตย คืออะไร ผมตั้งข้อสังเกตเอาไว้ ประมาณ 5 ปีมาแล้ว ตั้งแต่สมัยเขียนบทความอยู่ที่ บอร์ด ราชดำเนิน ตั้งแต่เริ่มเห็นเค้าลางของขบวนการโค่นทักษิณ โดยมีนายสนธิ กับ พวก แกนนำ สหภาพ และ นักวิชาการที่หมั่นไส้อดีตนายกเป็นตัวชูโรง และมือที่มองไม่เห็นบงการ โดยผมบอกว่า คณะองคมนตรี ก็คล้ายๆ กับ พวกอำมาตย์โบราณในหนังจักรๆ วงศ์ วงศ์ นั่นเอง

ตอนนั้นหลายๆ ฝ่ายยังไม่มีใครพุดถึงคำนี้ แต่หลายคนก็รู้ดี เพียงแต่ยังไม่มีใครให้คำจำกัดความที่แน่นอน จนในที่สุดตอนนี้ หากไปเสิร์ทในกูเกิ้ล ก็จะพบว่า ส่วนใหญ่ก็จะแปลกันตรงๆ คือ ระบบที่ข้าราชการเป็นใหญ่ ซึ่งผมไม่ค่อยชอบนัก เพราะดูยังไม่ค่อยตรงกับเป้าประสงค์ของประชาชนจริงๆ ในการต่อสู้ครั้งนี้

เป้าประสงค์หลักของ คนเสื้อแดง ไม่ใช่อยู่ที่การล้มระบบ ข้าราชการ ตามตัวอักษรของการแปลคำๆ นี้ แบบตรงๆ แต่จริงๆ ต้องบอกว่า คนไทยกว่าค่อนประเทศต้องการล้มระบอบอำมาตย์ที่เป็นลักษณะของกลุ่มบุคคลที่มีอำนาจแฝง และครอบงำ การเมือง การปกครอง ทิศทางของประเทศ รวมทั้งเสถียรภาพของรัฐบาล

ลักษณะการทำงานของอดีตนายกทักษิณ ผู้มีหัวก้าวหน้า ต้องการเปลี่ยนประเทศแบบฉับพลันทันที ไม่เกรงกลัวทั้งอำนาจโบราณ และ มหาอำนาจอย่างอเมริกา (หากเปิด เอเชีย บอนน์ ได้สำเร็จ ไอ้กันหมดความหมาย)

ผู้นำประเทศที่มาจาก นักธุรกิจคนนี้ ทนไม่ได้ที่เห็นการทำงานอย่างเฉื่อยชา เช้าชามเย็นชาม ในระบบราชการแบบเดิม ทนเห็นความด้อยพัฒนาของ รัฐวิสาหกิจไม่ไหว (อย่างเช่น การรถไฟไทย ที่นาย สมศักดิ์ เป็นประธานสหภาพ ที่เริ่มจะล้าหลังอินเดียไปแล้ว) ทนไม่ได้ที่เห็นทหารแทนที่จะเป็นทหารของประชาชน แต่เป็นทหารของพลเอกนอกราชการ ทนไม่ได้ที่เห็นนักวิชาการคร่ำครึ รู้แต่ในตำรา แต่ไม่รู้วิธีการนำมาใช้

ด้วยบุคลิก แข็งกร้าว ไม่สนหน้าอินทร์ หน้าพรหม เดินหน้าสารพัดโครงการ ก็ย่อมเป็นที่หมั่นไส้ของหลายๆ คน ซึ่งก็ต้องนับรวมถึง พวกที่เสียผลประโยชน์ และ พวกที่ชอบสบาย ไม่อยากเปลี่ยนแปลงเข้าไปด้วย นั่นคือที่มาของสหบาทา จากหลายๆ กลุ่ม เพื่อล้ม รัฐบาล ทรท ในอดีต ซึ่งผมคงจะไม่ต้องกล่าวถึงรายละเอียด เพราะทราบดีกันอยู่

แต่อย่างไรก็ตาม ที่สุด ของที่สุดก็คือ คุณทักษิณล้มในทางกายภาพก็เพราะ ทหาร และล้มทางภาพลักษณ์(บางส่วน) ก็เพราะสื่อไทยนั่นเอง

ขบวนการอำมาตย์น่าจะมีการจัดตั้งทันที หลัง ปี 2475 และ พัฒนาเรื่อยมาโดยึดโยงกับทหารอย่างเหนียวแน่น อีกทั้งมีกลุ่มทุนรุ่นเก่าให้การสนับสนุน และ สื่อโบราณบางกลุ่มเป็นกระบอกเสียง รัฐบาลไหนพินอบ พิเทาก็อยู่กันนานหน่อย ใครกระด้าง กระเดื่อง และดูเป็นพิษ เป็นภัย ก็กำจัดเสีย พยายามยึดโยงตัวเองเป็นเนื้อเดียวกับสถาบัน เพื่อความขลัง และความชอบธรรม

ผมเชื่อว่า คุณทักษิณไม่ใช่คนแรก และ คนสุดท้ายที่มองเห็นภาพและปัญหาในการพัฒนาอันนี้ แต่ คุณทักษิณ “ดัน” มาเป็นนายก และ พยายามรื้อระบบในขณะที่ขบวนการอำมาตย์ยังแข็งแกร่ง อำมาตย์ยังไม่แพ้ แต่ก็อ่อนกำลังลงไปมาก

วินาทีนี้ ขบวนการอำมาตย์ไม่ขลังแล้ว ทหารเองก็ไม่สามารถสั่งให้ซ้ายหัน ขวาหันได้ ตำรวจยิ่งไม่ต้องพูดถึง สื่อเอง หากอำมาตย์ไม่ให้ทหารเอาปืนจี้อยู่ หลายช่องคงไม่ออกมาเป็นแบบนี้ กลุ่มทุนใหม่ก็รุกคืบทุนเก่าที่ไม่รู้จักปรับตัว กองทัพรากหญ้าก็แข็งแกร่งขึ้นทุกวัน ปัญญาชนเริ่มกลับมาสนใจการเมืองอีกครั้ง หลังจากห่างหายไปนานนับแต่ปี 2535 ลูกหลานอำมาตย์ ก็ไม่เอาอย่างพ่อ แม่แล้ว หลายคนไปเรียนเมืองนอก ได้เห็นความศิวิไลซ์ อยากสู้กันแบบแฟร์ๆ มากกว่า

ลูกไม้แบบเดิมที่บอกว่า ทักษิณนำเสื้อแดง เสื้อแดงต้องการล้มสถาบัน เสื้อแดงฆ่าประชาชน ใช้ได้ก็แต่พวกคนเสื้อเหลืองที่เสพ ASTV เหมือนติดยา กับพวกตามแห่ ไม่เคยติดตามการเมืองเชิงลึกเท่านั้น ซึ่งมันน่าสังเวชที่ยังงัดมุกนี้มาใช้ในปี 2552 ยุคที่ Internet เข้าไปถึงหมู่บ้านกันแล้ว

ผมเชื่อว่า หากประธานองมนตรีต้องจากโลกนี้ไปตามวัฏฏะสงสาร บ้านเมืองจะกลับม ปรองดองกันได้อีกครั้งหนี่ง ขบวนการอำมาตย์ที่โงนเงนอยู่แล้ว พังแน่ หัวขบวนคนใหม่สร้างไม่ทัน ลำพังเสื้อเหลืองผู้น่าสงสาร เราคนไทยด้วยกันเอาอยู่ หากทหารไม่มายุ่ง

ขบวนการอำมาตย์ไปแน่ครับ อยู่ที่ว่า พวกเราเสื้อแดงจะให้ไปแบบไหน ตาม วัฏฏะ หรือ การปฏิวัติประชาชน