จากปี 2549 ที่เราไม่ทราบอะไรเลย ไม่รู้ใครเป็นใคร จนมาถึงวันนี้ ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสาร ได้รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง คนแต่ละกลุ่ม รู้ว่าเหตุการณ์ดำเนินมาถึงทุกวันนี้เพราะอะไร ท้ายที่สุดคน ชนชั้น ไหนได้ประโยชน์ คน ชนชั้น ไหนยังกุมอำนาจไว้ได้ คาดเดาไม่ยากหรอกครับ ว่าอีกไม่นาน .....เพี่ยงแต่.....จะจบอย่างไรนี่สิ.....
Sunday, April 19, 2009
public hearing
บทความ “ต้องเปิดไต่สวนสาธารณะกรณีรัฐประหาร ๑๙ กันยา ๔๙”
โดย ชำนาญ จันทร์เรือง นักวิชาการอิสระ
ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ชอบคุณทักษิณหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าคุณจะชอบหรือ ไม่ชอบพลเอกพัลลภก็ตาม และไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ชอบในเนื้อหาหนังสือลับลวงพรางภาค ๒ ที่เขียนโดยคุณวาสนา นาน่วม ก็ตาม แต่เนื้อหาที่บุคคลทั้งสามได้กล่าวถึงถึงเบื้องหลังการปฏิวัติ ๑๙ กันยา ๔๙ นั้น ได้สร้างความสั่นสะเทือนแก่วงการการเมืองไทยเป็นอย่างยิ่ง ได้จุดประกายของความอยากรู้อยากเห็นและความสงสัยว่าแท้ที่จริงแล้วข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรกันแน่
ในวงสนทนาตั้งแต่ระดับนักวิชาการบนหอคอยงาช้างจนถึงสภากาแฟข้างถนนต่างก็หยิบเอาประเด็นต่างๆเหล่านี้มาวิเคราะห์ถกเถียงกันอย่างออกรสชาติ ผมจึงเห็นควรที่จะได้มีการค้นหาความจริงให้ปรากฏต่อสาธารณะ เพื่อขจัดข้อขัดแย้งทางการเมืองที่กำลังคุกรุ่นอยู่ในปัจจุบันและขจัดข้อสงสัยต่างๆ ซึ่งไม่เป็นผลดีเลยต่อผู้ที่ถูกสงสัยทั้งหลายว่ามีส่วนอยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นองคมนตรี ตุลาการ อดีตนายทหารชั้นผู้ใหญ่ตลอดจนนักธุรกิจผู้เป็นเจ้าภาพในการจัดการพบปะพูดคุยกัน โดยวิธีการที่ว่านี้ก็คือวิธีการค้นหาข้อเท็จจริงก่อนที่บ้านเมืองและสถาบันต่างๆจะเสียหายไปมากกว่านี้ ด้วยวิธีการที่เรียกว่าการไต่สวนสาธารณะนั่นเอง
การไต่สวนสาธารณะ(public hearing) เป็นกระบวนการไต่สวน หาความจริงทุกด้านในประเด็นสาธารณะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพื่อให้สาธารณชนได้รับทราบเรื่องราวทุกด้านที่ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นๆ การไต่สวนสาธารณะนั้นมักดำเนินการโดยคณะกรรมการไต่สวนซึ่งประกอบไปด้วยบุคคลที่มีความเป็นกลางและอิสระ ดำเนินการรับฟังเรื่องราวทุกด้านในประเด็นสาธารณะเรื่องนั้นๆ
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็ได้แก่การดำเนินของคณะกรรมการไต่สวนสาธารณะของสภาคองเกรสสหรัฐอเมริกาในกรณีการไต่สวนสาธารณะกรณีการก่อวินาศกรรม เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๐๐๑ (พ.ศ.๒๕๔๔) หรือที่เรียกกันว่า ไนน์ วัน วัน (๙/๑๑ ) ซึ่งเป็นการก่อวินาศกรรมที่รุนแรงที่สุดในแผ่นดินสหรัฐอเมริกานั่นเอง เพราะตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ยักษ์คู่แฝดในนิวยอร์กซิตี ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของทุนนิยมได้ถูกทำลายลงด้วยการจี้เครื่องบินให้พุ่งชน จนตึกถล่มและมีคนตายหลายพันคนและบาดเจ็บอีกจำนวนมาก นอกจากนั้นยังมีการจี้เครื่องบินให้พุ่งชนตึกเพนตากอนซึ่งเป็นที่ตั้งของกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกาอีกด้วย
ในตอนแรก น.ส.คอนโดลิซา ไรซ์ อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสมัยประธานาธิบดีบุชปฏิเสธไม่ยอมไปให้การต่อคณะกรรมการไต่สวนฯ โดยอ้างว่าเป็นการขัดต่อหลักการแยกอำนาจอย่างเด็ดขาดของรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกา ซึ่งใช้การปกครองระบอบประธานาธิบดี(presidential system)ที่ประธานาธิบดีมีอำนาจสูงสุด(presidential supremacy) โดยเธออ้างว่าเธอเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นสูงของประธานาธิบดีบุช ซึ่งเป็นฝ่ายบริหารมีสิทธิไม่ไปให้การต่อคณะกรรมการไต่สวนฯซึ่งเป็นงานของฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งการปฏิเสธครั้งนี้ทำให้ประธานาธิบดีบุชเสียความนิยมเป็นอันมากและในที่สุดเธอก็ต้องยอมไปให้ปากคำต่อคณะกรรมการไต่สวนฯโดยเธอปฏิเสธว่าไม่เคยได้เห็นรายงานข่าวกรองเรื่องความเคลื่อนไหวของกลุ่มอัลกออิดะห์ มาก่อนเลย
แต่นายริชาร์ด คลาก ผู้ที่เป็นเจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบขาวฝ่ายความมั่นคง ที่อยู่ต่อเนื่องตั้งแต่สมัยคลินตันจนถึงสมัยบุช แต่มาถูกปลดภายหลังได้ให้การว่ารัฐบาลสมัยบุช ไม่ค่อยให้ความสนใจติดตามเรื่องความเคลื่อนไหวของกลุ่มอัลกออิดะห์หรือนายอุซามะห์ บิน ลาดิน แต่มักมุ่งความสนใจไปที่ประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซนแห่งอิรักมากกว่า นายคลากกล่าวว่าวันหนึ่งขณะเดินอยู่ในทำเนียบขาว ได้เดินสวนกับประธานาธิบดีบุช ซึ่งได้หยุดและสั่งให้เขาสืบหาความเชื่อมโยงของซัดดัม ฮุสเซน กับกลุ่มก่อการวินาศกรรม ๙/๑๑ ซึ่งเขาได้พยายาม สืบหาความเชื่อมโยงดังกล่าวแต่ไม่พบเงื่อนงำอันใด จึงได้เขียนรายงานต่อประธานาธิบดีบุชว่าไม่มีร่องรอยเชื่อมโยงระหว่างซัดดัม ฮุสเซน กับกลุ่มก่อวินาศกรรม๙/๑๑ และเขาได้ย้ำในรายงานว่ามีหลักฐานแจ้งชัดว่ากลุ่มก่อการร้ายนี้มีความเชื่อมโยงกับนายบิน ลาดิน และ กลุ่มอัลกออิดะห์
จากรายงานฉบับนี้ได้สร้างความไม่พอใจให้บุชเป็นอันมาก และทำให้บุชหาเรื่องปลดเขาออกจากตำแหน่งในข้อหาว่าเป็นพวกเดโมแครตและเป็นสมุนของคลินตัน นอกจากนั้นเขายังให้การว่าเขาเคยได้ยินนายโดนัลด์ รัมสเฟลด์ รัฐมนตรีกลาโหมของบุชพูดในที่ประชุมว่า กลุ่มอัลกออิดะห์ และนายบิน ลาดิน นั้นเป็นเป้าที่เล็กเกินไปสำหรับแสนยานุภาพของสหรัฐที่จะบดขยี้ ซึ่งจะเห็นได้ว่ารัฐบาลของประธานาธิบดีบุชไม่ได้สนใจกลุ่มอัลกออิดะห์และนายบิน ลาดินเท่าใด แต่มีความมุ่งมั่นแน่นอนที่ต้องการทำลายล้างซัดดัม ฮุสเซนมากว่า จนถึงขนาดปั้นเรื่องว่าอิรักมีอาวุธร้ายแรงที่เป็นภัยต่อสันติภาพของโลก ซึ่งในที่สุดก็พิสูจน์แล้วว่าไม่จริง
จากตัวอย่างที่ผมยกมาให้เห็นนี้จะทำให้เราทราบว่ากระบวนการ ไต่สวนสาธารณะนั้นมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง ทำให้เราได้ทราบความจริงที่ฝ่ายที่ยึดครองอำนาจรัฐได้ใช้อำนาจไปในทิศทางใด ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถเอาผิดตามกฎหมายได้ด้วยเหตุ เนื่องเพราะมีการบัญญัติกันท่าไว้ในมาตรา ๓๐๙ ของรัฐธรรมนูญฯก็ตาม
ในส่วนของรัฐสภาไทยเรานั้นอันที่จริงแล้ว ทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาของเราก็มีวิธีการที่คล้ายคลึงกัน แต่สภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาของเรามักมอบหมายให้คณะกรรมาธิการสามัญประจำสภา หรือตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นพิจารณาศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่ของเราไม่มีการตั้งคณะกรรมการไต่สวนซึ่งประกอบด้วยบุคคลภายนอกที่เป็นกลางอิสระเหมือนเขา
ฉะนั้น ผมจึงเห็นว่าจากการเปิดประเด็นถึงเบื้องหลังการรัฐประหารที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยประสบปัญหาความยุ่งยากมาจนถึงปัจจุบันนี้และไม่ทราบว่าจะยุติลงเมื่อใด เราจึงควรที่จะได้มีการค้นหาความจริงโดยการตั้งคณะกรรมการไต่สวนสาธารณะ ที่ประกอบไปด้วยบุคคลที่เป็นกลางและเป็นอิสระมาค้นหาความจริงที่อึมครึมเหล่านี้
แน่นอนว่าการตั้งคณะกรรมการอิสระนี้ย่อมตั้งโดยมีอำนาจตามกฎหมายรองรับ และองค์กรที่จะเป็นผู้จัดตั้งต้องอยู่ในสถานะที่เชื่อได้ว่ามีความเป็นกลางพอสมควร ซึ่งก็คงไม่หนีพ้นองค์กรรัฐสภานั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไทยเรานั้นเป็นการปกครองในระบอบรัฐสภา(parliamentary system) ซึ่งโดยนัยยะก็คือรัฐสภาเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด(parliamentary supremacy) รัฐสภาจึงควรที่จะเป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการ ไต่สวนสาธารณะดังกล่าว เปรียบเทียบได้กับกรณีที่จัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๔๐ ที่ถึงแม้ว่านายกรัฐมนตรีและสมาชิกรัฐสภาในสมัยนั้นจะไม่ค่อยเห็นด้วยก็ตาม แต่ก็ทัดทานเสียงของประชาชนที่เรียกร้องไม่ได้
กรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน หากเราพร้อมใจกันเรียกร้องให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการไต่สวนสาธารณะนี้ขึ้นมาแล้ว ข้อสงสัยหรือข้อกล่าวหาต่างๆที่กำลัง ซัดสาดเข้าหากันย่อมกระจ่างขึ้น และแน่นอนว่าปัญหาความขัดแย้งย่อมทุเลาลงเพราะสาธารณชนได้ทราบความจริงว่าใครคือผู้มีบารมี ใครคือผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ ใครคือผู้มากบารมี หรือเป็นเพียงการปั่นกระแสเพื่อต่อรองอำนาจของผู้มีบารมีนอกประเทศเท่านั้น
ผมเชื่อว่าด้วยกระบวนการไต่สวนสาธารณะนี้จะทำให้เราทราบว่าแท้จริงแล้วใครพูดจริง ใครพูดเท็จ คนที่พูดจริงก็สามารถยืนอยู่ในสังคมได้อย่างทรนงองอาจ ใครที่พูดเท็จย่อมไม่สามารถยืนอยู่ในสังคมได้ เพราะจะถูกประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริงขจัดออกไปในที่สุด
---------------------
ที่มา : http://www.pub-law.net/publaw/View.asp?publawIDs=1354