Tuesday, May 26, 2009

"บิ๊กจิ๋ว"ทำปกขาวเตือนสติอย่าทำกองทัพเป็นของเผด็จการคนส่วนน้อย

คมชัดลึก :"บิ๊กจิ๋ว"ทำปกขาวเตือนสติ“บิ๊กทหาร ”อย่าทำกองทัพเป็นของเผด็จการคนส่วนน้อย

สอนน้องต้องเป็นตัวของตัวเอง ทำเพื่อประโยชน์ประชา ชน ช่วยยุติความแตกแยกคนในชาติ


(14พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี และผู้บัญชาการทหารบก จัดทำ

หนังสือเรื่อง “ยุทธศาสตร์แก้ไขความขัดแย้ง” ปกสีขาวแจกจ่าย เนื่องในโอกาสวันเกิดครบ

รอบ 77 ปี เมื่อวันที่ 15 พ.ค.โดยรวมรวมคำบรรยายตั้งแต่ปี 2523 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดความขัดแย้งในประเทศ

ถึงขั้นใช้อาวุธเข้าต่อสู้กัน จนกระทั่งแก้ไขปัญหายุติความขัดแย้งลงได้ด้วยการที่ทำความเข้าใจกับผู้ที่ หนีเข้า

ป่าไปอยู่ภายใต้การดูแลของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ซึ่งสงครามครั้งนั้นไม่มีผู้แพ้ ผู้ชนะ


พล.อ.ชวลิต กล่าวในบทนำว่า อยากให้ ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง นำคำบรรยายของตนเองไปใช้ให้เป็น

ประโยชน์ และประยุกต์ใช้ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างเผด็จการ คอมมิวนิสต์และประชาธิปไตย ซึ่ง

ตกค้างมากว่า 20 ปีที่แล้ว ซึ่งการแก้ไขปัญหาในอดีตทำได้ด้วยความปรารถนาดีและหวังดีของคนไทยที่รักชาติ

รักแผ่นดิน และความกล้าหาญของพี่น้องทุกฝ่าย ด้วยความสามารถของรัฐบาลในยุคนั้น และที่สำคัญสูงสุดคือ

ด้วยบารมีปกเกล้าปกกระหม่อมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัวฯ สมเด็จพระนางเจ้าฯ และ พระบรมราชจักรี

วงศ์ทุกพระองค์ทำให้ประเทศชาติหลุดพ้นจากภัยพิบัติในยุคนั้น มาได้


บทนำบอกด้วยว่า ปัจจุบันสถานการณ์ความขัดแย้งเริ่มครุกรุ่นขึ้นมาอีกครั้ง โดยมีฝ่ายต่างๆ เผชิญหน้าแย่งชิง

อำนาจผลประโยชน์ โดยไม่คำนึงถึงประเทศชาติ ประชาชน มุ่งเอาประชาชนเป็นเครื่องมือ ทำให้เกิดความ

แตกแยกในหมู่ประชาชนเป็นอย่างมาก กองทัพซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีภารกิจในการรักษาความมั่นคงของชาติ

ควรจะยึดหลักให้มั่น คิดถึงความมั่นคงของชาติ ศาสน์ และ พระมหากษัตริย์เป็นหลัก เนื่องจากกองทัพไทยเป็น

สถาบันคู่บ้านคู่เมืองมาตั้งแต่โบราณ โดยผ่านวิวัฒนาการและทำการต่อสู้เพื่อพิทักษ์รักษาและค้ำจุนชาติมาทุก

ยุคทุก สมัย ได้รับบทเรียนทั้งในทางที่เป็นคุณและเป็นโทษต่อชาติบ้านเมืองอย่างมากมาย


ทหาร ในกองทัพต้องมีความสำนึกอยู่เสมอว่า กองทัพเป็นของประชาชน ทุกสิ่งที่กองทัพกระทำ ต้องกระทำเพื่อ

ผลประโยชน์ของประชาชน ผู้เป็นเจ้าของประเทศ และเจ้าของกองทัพ โดยกองทัพจะต้องมีอุดมการณ์และมีจุด

ยืนประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์ เป็นองค์ประมุขแห่งรัฐ บทบาทของกองทัพที่มีต่อการเมือง หรือการ

ปกครองในระบอบประชาธิปไตยในอันที่กองทัพจำเป็นต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในห้วงระยะเวลาแห่งการ

เปลี่ยนแปลงนั้น จะตั้งอยู่บนพื้นฐานผลประโยชน์ของประชาชนเสมอ โดยกองทัพจะร่วมมือกับฝ่ายพลเรือนเพื่อ

สร้างความสมัครสมานสามัคคีไม่แบ่งแยก ในอันที่จะพัฒนาระบอบการปกครองให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์

แบบ คือระบอบการปกครองที่จะทำให้ประชาชนแผ่นดินนี้ มีความสำนึกว่าเขาเป็นเจ้าของแผ่นดิน และได้รับผล

ประโยชน์จากประเทศนี้อย่างเป็นธรรม กองทัพจึงต้องทำให้ประชาชนเลื่อมใสศรัทธาในสิ่งที่ทำ และ มีความ

รู้สึกว่าเป็นเจ้าของกองทัพอย่างแท้จริง


ในคำบรรยาย เรื่อง “ทหารกับประชาธิปไตยไทย” ในช่วงปี 2531 มีเนื้อหาตอนหนึ่งระบุว่า

สถานการณ์ตอนนั้น กองทัพเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น และเป็นประชาธิปไตยพอสมควรทีเดียว มีแนวโน้มเป็น

กองทัพของประชาชน ดังที่กองทัพได้แสดงเจตนารมณ์ในการแก้ไขปัญหาคอมมิวนิสต์ตลอดมา กองทัพเป็น

ของประชาชน มาจากประชาชน และกองทัพเป็นมิตรของประชาชนและศัตรูของคอมมิวนิสต์ กองทัพนั้นเป็นได้

เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง 2 อย่างคือ กองทัพเป็นของเผด็จการ (เป็นของคนส่วนน้อย) หรือกองทัพเป็นของ

ประชาชน เพราะว่าระบอบประชาธิปไตยนั้นเป็นการปกครองของประชาชน


“บทบาทของ กองทัพในห้วงระยะเวลาของการเปลี่ยนแปลงนั้น กองทัพเข้าใจดี และ มิได้คิดที่จะไปมี

บทบาทในลักษณะไปยึดอำนาจในการปกครองประเทศมาเป็นของกองทัพ เลยแม้แต่น้อย บางคนอาจมองว่า

ทหารต้องการปกครองประเทศ ทหารต้องการทุกสิ่งทุกอย่าง ทหารเป็นเทวดา ฯลฯ ซึ่งข้อเท็จจริงไม่ได้เป็นเช่น

นั้น ทหารกลับคิดว่าทำอย่างไรจึงจะให้ระยะเปลี่ยนแปลงนั้นมันสั้นที่สุด ทำอย่างไรจึงจะถอนตัวออกมาให้เร็วที่สุด

ประเทศชาติจะได้เป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นองค์พระประมุขแห่ง รัฐเท่านั้น เพราะเป็นระบอบที่

เหมาะสมกับสังคมไทย และประชาชนไทยต้องการ จึงสรุปได้ว่าทหารหรือกองทัพไม่ได้มีเจตนาที่จะเข้าไป

ผูกพันทางการเมืองตลอดไป การผูกพันที่เป็นอยู่เป็นการผูกพันในห้วงระยะเวลาของการเปลี่ยนแปลงเท่า

นั้น”


ใน หนังสือได้นำเอกสาร ลับ บันทึกคำบรรยาย เรื่อง นโยบายและแนวทางการต่อสู้ในเมืองเพื่อเอาชนะ

คอมมิวนิสต์ ที่หอประชุมกิตติขจร เมื่อวันที่ 23 ธค. 23 มาตีพิมพ์ในท้ายของหนังสือด้วย โดยส่วนใหญ่ได้พูดถึง

นโยบาย 66 / 23 พร้อมตบท้ายว่า เราจะบรรลุผลสำเร็จในการแก้ปัญหาของชาติได้เพียงใด ขึ้นอยู่กับทุกคน

ว่าจะดำเนินรอยตามเบื้องพระยุคลบาทของพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ที่ทรงถือ ว่า “ ทุกข์ของ

ราษฎร ทุกข์ของชาติ คือทุกข์ของแผ่นดิน” หรือไม่เพียงใด